Mindfulness: พลังแห่งความระลึกรู้
17 มิถุนายน 2566
เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนเพิ่งมีโอกาสได้เดินทางไปเข้าร่วม Rebalancing for Executive Program เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ร่วมกับกัลยาณมิตร 2 ท่านได้แก่ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคุณวิทวัส พันธ์พานิช ผู้บริหารโรงเรียน King’s College International School Bangkok ณ โรงแรม The Soul Resort อ.แก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งอาจถือเป็น Mindfulness Resort แห่งแรกของโลก นับเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง เพราะเป็นที่ซึ่งวิถีแห่งสติ สุขภาพ ความสมดุล ความสะดวกสบาย และการผ่อนคลายมาบรรจบกันในสถานที่ที่นับว่าเป็น Unseen ของเมืองไทยมาก ๆ เพราะแวดล้อมไปด้วยขุนเขาที่สวยงามอย่างน่าตกตะลึง ทำให้ชีวิตการทำงานอันยุ่งเหยิงของผู้เขียนได้กลับมามีสมดุลขึ้นได้บ้าง
ที่สำคัญ ผู้เขียนได้ทำความรู้จักกับ “Mindfulness” หรือ “การมีสติ” อย่างเข้าใจมากขึ้น เพราะได้เรียนรู้และฝึกฝนการมีสติด้วยการปฏิบัติจริงจากผู้รู้ ทั้งการเดินอย่างมีสติด้วยเท้าเปล่าบนสนามหญ้า รู้การเคลื่อนไหวในทุกฝีก้าวของตน การรับประทานอาหารอย่างมีสติ รู้รสชาติอาหารในทุกคำที่ทานเข้าไป และการฝึกนั่งสมาธิเบื้องต้น เพื่อรับรู้ความเป็นไปของลมหายใจเข้าออก ทั้งนี้ การฝึกสตินั้นต้องขอบอกว่าเป็น “วิถีสากล” และกำลังได้รับความนิยมในองค์กรและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วโลก โดยไม่ได้จำกัดว่าเป็นหลักการของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง หรือผู้ฝึกนั้นจะนับถือหรือไม่ได้นับถือศาสนาใด บางขุนพรหมชวนคิดวันนี้จึงขอชวนท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับสติและประโยชน์ของการมีสติกันครับ
อะไรคือสติ ?
มีงานวิจัยคุณภาพในระดับสากล เช่น Brown & Ryan (2003)[1] ที่ให้นิยามว่าเป็น “inherently a state of consciousness” และ “involves consciously attending to one’s moment-to-moment experience” หรือเป็นสภาวะที่มีการระลึกรู้ตัวในปัจจุบัน สอดคล้องกับนิยามทางพุทธศาสนา ตามพระไตรปิฎกได้มีบันทึกไว้ว่า “สติ ตามระลึก ความหวนระลึก สติ กิริยาที่ระลึก ความทรงจำ ความไม่เลื่อนลอย ความไม่หลงลืม” (อภิ.สํ. ไทย 34/23/31) ขณะที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) ได้ให้คำจำกัดความไว้ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ไว้ว่า สติ คือ “ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง…” ซึ่งผู้เขียนขออนุญาตสรุปอย่างง่ายว่า สติคือความรู้ตัวในทุก ๆ ขณะปัจจุบัน ระลึกได้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น ๆ เช่น เดินก็รู้ว่าเดิน นั่งก็รู้ว่านั่ง แปรงฟันก็รู้ว่าแปรงฟัน หรือแม้แต่รู้สึกนึกคิดอย่างไรในขณะนั้น ๆ เช่น มีความสุขก็รู้ มีอารมณ์โกรธก็รู้ มีความคิดฟุ้งซ่านก็รู้
มีสติแล้วดีอย่างไร ?
งานวิจัยในระดับสากลและของไทยได้ชี้ให้เห็นประโยชน์ของการมีสติมากมาย ทั้งนี้ ผู้เขียนขอหยิบยกประโยชน์ของการมีสติที่สรุปไว้อย่างง่าย ๆ โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า มีทั้งในแง่ของการทำงานของร่างกาย เช่น สมองส่วนต่าง ๆ สามารถติดต่อสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวสอดประสานกันดีขึ้น ในแง่ของการควบคุมอารมณ์ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานหรือความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีขึ้น และในแง่การพัฒนาคุณธรรม ซึ่งทำให้รู้จักยับยั้งชั่งใจ รู้ผิดชอบชั่วดี มีเมตตา ทั้งนี้ ประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เห็นได้ชัดจากการฝึกสติ คือ ทำให้ผู้เขียนมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น และสามารถตัดสินใจหลาย ๆ อย่างในทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตได้อย่างรอบคอบรอบด้านมากขึ้น
ดูเผิน ๆ อาจเป็นเรื่องง่ายที่บางท่านอาจมองว่า เราทุกคนก็มีสติดีอยู่แล้ว แต่ท่านผู้อ่านลองสำรวจตัวเองสิครับว่า แต่ละวัน เรามีสติระลึกรู้เท่าทันความนึกคิดและการกระทำของเรามากน้อยเพียงใด เช่น เวลาใครมาทำให้เราโกรธ เรารู้ตัวหรือไม่ว่าเรากำลังโกรธและทำอะไรต่อจากอารมณ์โกรธนั้น (ซึ่งมักจะทำให้เรื่องเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องบานปลาย) ดังนั้น หากไม่ได้ฝึกสติ ประหนึ่งนักกีฬาที่ต้องฝึกซ้อมทุกวัน แล้วเราจะมีสติได้อย่างไร?
ว่าแล้วผู้เขียนขอระลึกรู้ว่ากำลังเขียนบทความนี้อยู่ และขอตัวไปฝึกเดินอย่างมีสติต่อก่อนนะครับ
** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **
[1] Brown, K. W., & Ryan, R. M. (2003). The benefits of being present: Mindfulness and its role in psychological well-being. Journal of Personality and Social Psychology, 84(4), 822–848. https://doi.org/10.1037/0022-3514.84.4.822
ผู้เขียน :
สุพริศร์ สุวรรณิก
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
คอลัมน์ “บางขุนพรหมชวนคิด” นสพ.ไทยรัฐ
ฉบับวันที่ 17 มิถุนายน 2566