การปรับดอกเบี้ยนโยบาย จังหวะที่ใช่ ภายใต้ข้อจำกัด

การปรับดอกเบี้ยนโยบาย จังหวะที่ใช่ ภายใต้ข้อจำกัด

 

ท่ามกลางโลกที่ผันผวน แนวโน้มเศรษฐกิจที่แผ่วลง อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ และสินเชื่อที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายน้อยไปหรือช้าไปหรือไม่ ทั้งยังมีกระแสเรียกร้องให้ปรับลดเพิ่มเติมเพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ

 

ครั้งนี้ จึงอยากนำเรื่องที่หลายคนสนใจมาเล่าว่า จังหวะและเหตุผลที่เหมาะสมในการลดหรือไม่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?

จังหวะที่ใช่ ขึ้นกับแนวโน้มและความเสี่ยง

 

ตั้งแต่ปลายปีก่อน เศรษฐกิจการเงินไทยต้องเจอกับความท้าทายจากความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าโลก ซึ่งอาจส่งผลลบต่อแนวโน้มการส่งออกและเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ กนง. ก็ไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทุกครั้งที่มีการประชุม เพราะต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่าง (1) การดูแลให้เงินเฟ้อไม่สูงและผันผวน (2) การดูแลให้เศรษฐกิจโตได้ตามศักยภาพ และ (3) การดูแลความเสี่ยงในระบบการเงิน

 

ดังนั้น การตัดสินนโยบายจะขึ้นกับภาพเศรษฐกิจการเงินและความเสี่ยง 3 ด้านนี้ในระยะข้างหน้า ว่าเปลี่ยนแปลงจากที่เรามองไว้เดิมอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ หากใช่ กนง. ก็อาจพิจารณาปรับขึ้น/ลดดอกเบี้ยนโยบาย ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และเมษายนปีนี้ กนง. ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องกัน 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% จาก 2.25% เหลือ 1.75% เพราะความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากการที่ภาคการผลิตต้องเจอกับปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น รวมถึงนโยบายอัตราภาษี (tariff) ของสหรัฐฯ โดยเมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ และแม้ดอกเบี้ยจะลดลง แต่ไม่น่าจะเพิ่มความเสี่ยงที่คนจะก่อหนี้ที่ไม่จำเป็นมากขึ้นจนทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนแย่ลง อีกทั้งยังน่าจะช่วยบรรเทาภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้บางส่วนได้บ้าง

 

แต่การประชุมในเดือนมิถุนายน กนง. ตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบาย เพราะมองว่าการลดดอกเบี้ยที่ผ่านมาจะช่วยรองรับความเสี่ยงได้ อีกทั้งยังรอดูผลการเจรจา tariff และนโยบายประเทศอื่น ๆ เพื่อประเมินอีกครั้งก่อน รวมทั้งข้อมูลที่มี ไม่ได้ชี้ว่าสมดุลของ 3 ปัจจัยข้างต้นเปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะ อย่างไรก็ดี ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กนง. เห็นพัฒนาการทางเศรษฐกิจการเงินและความเสี่ยงชัดเจนขึ้น

 

ในแง่เศรษฐกิจ แม้ช่วงครึ่งแรกของปียังขยายตัวดีจากการส่งออกสินค้าและการผลิต อีกทั้ง tariff ที่ไทยได้รับที่ 19% ก็ไม่ต่างจากที่ กนง. ประเมินไว้เดิม ทำให้ผลกระทบต่อการส่งออกไทยจึงไม่น่ารุนแรงไปกว่าที่เคยมองไว้ว่าจะเริ่มเห็นแนวโน้มชะลอลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และในภาพรวม GDP ปีนี้ก็น่าจะใกล้เคียงกับที่คาดไว้ราว 2% กว่า ๆ แต่หากเจาะดูองค์ประกอบ กลับพบว่าเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลายตัวน่าเป็นห่วงขึ้น ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มเดินทางระยะใกล้ จากการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ของลูกจ้างและผู้ประกอบอาชีพอิสระจำนวนมาก ภาคการผลิตจะถูกกระทบจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นตามการทะลักของสินค้านำเข้าจากประเทศที่กำลังหาตลาดส่งออกใหม่ ส่วนการบริโภคภาคเอกชนก็จะชะลอลงตามแนวโน้มรายได้แรงงาน ซึ่งหลายปัจจัยข้างต้นจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่มีอยู่เดิม รวมถึงทำให้ SMEs และแรงงานบางส่วนมีความเปราะบางเพิ่มขึ้น

 

ในแง่ภาวะการเงินก็ตึงตัวต่อเนื่อง แบงก์ระมัดระวังการปล่อยกู้ให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงขึ้น ซึ่งทำให้สินเชื่อ SMEs และสินเชื่อรายย่อยลดลง สัดส่วนหนี้เสีย (NPL) เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนรายได้ต่ำ

 

เมื่อชั่งน้ำหนักเป้าหมายทั้ง 3 ด้านแล้ว กนง. จึงตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1.50% เพื่อช่วยลดภาระของกลุ่มเปราะบางและผ่อนคลายภาวะการเงินลงได้บ้าง ซึ่งจะเอื้อต่อการปรับตัวของธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs โดยที่ไม่ได้ไปสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน และเงินเฟ้อเพิ่มเติม

economy

ภายใต้ข้อจำกัด จุดตัดคือประสิทธิภาพ

 

ช่วงที่วิกฤตโควิดคลี่คลายและเศรษฐกิจฟื้นต่อเนื่อง กนง. ได้ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากที่เคยต่ำสุดที่ 0.50% มาอยู่ที่ 2.50% เพื่อเก็บสะสมพื้นที่นโยบาย หรือที่เรียกว่า policy space ไว้รองรับเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต

 

ด้วยเศรษฐกิจที่โตช้าลง รวมถึงภาวะการเงินที่ตึงตัว ทำให้ตั้งแต่ปลายปี 2567 กนง. ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายไป 4 ครั้ง ลงมาอยู่ที่ 1.50% ซึ่งหมายความว่า policy space เหลือน้อยลง ทำให้ กนง. ต้องชั่งน้ำหนักประสิทธิผลของนโยบายในการตัดสินใจแต่ละครั้งให้ดี เพราะในภาวะที่ความไม่แน่นอนยังสูงต่อเนื่อง ต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก อาจไม่ได้ช่วยให้มีการใช้จ่าย การลงทุน และการจ้างงานเพิ่มขึ้นมากนัก ผลบวกของการลดดอกเบี้ยในการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงอาจมีไม่มาก ในทางกลับกัน ยิ่งอัตราดอกเบี้ยต่ำลงเท่าใด ความสามารถในการรองรับความเสี่ยงหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในช่วงที่ความไม่แน่นอนสูงก็จะยิ่งลดลงเท่านั้น และต้องไม่ลืมชั่งน้ำหนักความเสี่ยง 3 ด้าน ซึ่งต้องระวังผลข้างเคียงจากดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานด้วย เช่น การลดแรงจูงใจในการออมเงิน และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น หรือการก่อหนี้เกินตัว หรือหนี้ที่ไม่จำเป็น ซึ่งจะกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาวได้

 

ที่สำคัญ ต้องตระหนักว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยถูกกดดันจากหลายปัจจัย ซึ่งดอกเบี้ยไม่ใช่เครื่องมือเดียวที่จะแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด ต้องอาศัยเครื่องมือที่ตรงจุดและมีผลข้างเคียงน้อยกว่า โดยเฉพาะมาตรการที่ไปแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง หรือมาตรการทางการเงินที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ซึ่งช่วยลดภาระของลูกหนี้ได้มากในช่วงที่รายได้ฝืดเคือง และมาตรการค้ำประกันเครดิตที่จะช่วยให้แบงก์ปล่อยกู้ได้อย่างมั่นใจ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการเข้าไม่ถึงสินเชื่อได้ยั่งยืนมากกว่า

 

สุดท้ายนี้ แม้ว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยจะมีความไม่แน่นอนรออยู่อีกมาก ดิฉันอยากเป็นกำลังใจให้ผู้อ่านทุกคนสามารถปรับตัวผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายข้างหน้าไปให้ได้ และมีวันใหม่ที่เข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิมนะคะ

 

แล้วพบกันใหม่ค่ะ

market

ผู้เขียน : ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์


คอลัมน์
แบงก์ชาติชวนคุย ประชาชาติธุรกิจ 
        ฉบับวันที่ 15 กันยายน 2568

Tag ที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐกิจและการเงิน เศรษฐกิจไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน นโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ยนโยบาย