ส่องทิศทางราคาสินค้าเกษตรสำคัญของภาคใต้ ปี 2566
กฤตยา ตรีวรรณไชย l ณิชมล ปัญญาวชิโรกุล l ปิติยาธร พิลาออน สำนักงานภาคใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย
13 ก.พ. 2566
สองแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจภาคใต้คงหนีไม่พ้นภาคการท่องเที่ยวและภาคเกษตร ปัจจุบันเห็นได้ชัดว่าภาคการท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัวจึงจะเป็นแรงผลักให้เศรษฐกิจภาคใต้ดีขึ้นได้ แต่สำหรับภาคเกษตรที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นอย่างไร ดังนั้น การทราบถึงทิศทางราคาสินค้าเกษตรสำคัญ จะทำให้เห็นถึงแนวโน้มรายได้ของเกษตรกร ซึ่งเป็นกำลังซื้อก้อนสำคัญที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจภาคใต้ในปี 2566 ต่อไป
• เศรษฐกิจโลกคาดว่าจะชะลอตัว เป็นปัจจัยกดดันความต้องการซื้อ โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจจีนและเอเชียคาดว่าจะโตดีกว่าปี 65 ซึ่งยังพยุงกำลังซื้อได้ส่วนหนึ่ง
• ภาพรวมสภาพอากาศในปีนี้กลับมาเป็นปกติ แต่ช่วงปลายปีต้องระวัง เพราะอาจเจอภาวะแล้งหรืออากาศร้อนกว่าปกติได้ ทั้งนี้ ปริมาณน้ำฝนที่มากในปีก่อนซึ่งทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น อาจทำให้ราคาลดลงได้
• ราคาน้ำมันปรับลดลงจากปีก่อน แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงช่วยพยุงราคายางพาราและปาล์มน้ำมัน แต่อีกด้านหนึ่งทำให้ต้นทุนเกษตรกรยังสูงอยู่ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าขนส่ง
• ราคาปุ๋ยปรับลดลงจากปีก่อน แต่ยังแพง เกษตรกรจึงยังคงมีต้นทุนสูง เกษตรกรบางส่วนที่ลดการใส่ปุ๋ย อาจเจอกับผลผลิตต่อไร่ (yield) ที่ลดลง ทำให้กำไรน้อยลงได้
จากที่เล่ามาทั้งหมด จะเห็นว่าทิศทางราคาสินค้าเกษตรสำคัญในภาคใต้มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวทำให้ความต้องการลดลง หรือผลพวงของฝนที่ตกมากในปีก่อน ทำให้บางสินค้ามีผลผลิตมากขึ้น ราคาจึงอาจลดลงตามมาได้ เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ราคาสินค้าเกษตรสำคัญในภาคใต้จะปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้ ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะจีนที่เพิ่งเปิดประเทศว่าจะทำให้ความต้องการในหลายสินค้าดีขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้น จะเห็นได้ว่าราคาสินค้าเกษตรมีความผันผวน และเพื่อที่จะรับมือในเรื่องนี้ อาจต้องมาดูแลเรื่องของผลผลิตมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับรายได้ครัวเรือนเกษตรกร เช่น การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ (yield) โดยเฉพาะในยางพาราและปาล์มน้ำมัน การรักษาคุณภาพผลผลิตทุเรียน รวมถึงการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะการรักษาโรคในกุ้งขาว เป็นต้น
“บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย”
.