สถานการณ์หนี้ครัวเรือนภาคเหนือ...สู่ทางออกที่ยั่งยืน
ศรันยา อิรนพไพบูลย์ | ปราณี จิระกิตติเจริญ | ธนพร ตั้งตระกูล ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ
03 ต.ค. 2568
“หนี้ครัวเรือนในภาคเหนือยังคงน่าห่วง เพราะมีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับรายได้ที่โตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ครัวเรือนเผชิญความยากลำบากในการชำระคืนหนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย ครัวเรือนในภาคเกษตรกรรม และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง จากการลงพื้นที่สัมภาษณ์ พบว่าพฤติกรรมก่อหนี้ของครัวเรือนเหล่านี้มักเลือกแหล่งเงินกู้ที่เข้าถึงง่าย รวดเร็ว แม้จะมีดอกเบี้ยสูง ด้านสาเหตุของการเป็นหนี้เกิดจากการประกอบอาชีพแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มีภาระเลี้ยงดูบุตรหลาน รวมทั้งรายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่ายจำเป็นในบางช่วง อย่างไรก็ดี พบว่ามีครัวเรือนตัวอย่างที่สามารถปรับตัวหาทางออกได้ สำหรับแนวทางแก้หนี้อย่างยั่งยืนควรเน้นตั้งแต่การวางแผนรายรับรายจ่าย การรักษาวินัยจ่ายหนี้ตรงเวลา และการเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือเมื่อเริ่มมีปัญหา”
หนี้ครัวเรือนต่อรายได้ประชาชาติไทยล่าสุด ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 87.0% [รูปที่ 1] แม้จะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการชะลอตัวของสินเชื่ออุปโภคบริโภค แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงและเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ1/ ขณะที่มีการออกมาตรการทางการเงิน เช่น การพักชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ และมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้เดิมและป้องกันการเกิดหนี้เสียในอนาคต แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ทำให้รายได้ครัวเรือนขยายตัวต่ำ ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นเร็ว ทำให้การชำระคืนหนี้ทำได้ยากขึ้น หนี้ครัวเรือนจึงยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และเปราะบางจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากระดับหนี้ครัวเรือนภาคเหนือจะต่ำกว่าภูมิภาคอื่น (รูปที่ 2) แต่ไม่ได้สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่ดีกว่า แต่เกิดจากศักยภาพในการก่อหนี้มีจำกัด ตามรายได้ที่ต่ำกว่าครัวเรือนภาคเหนือส่วนใหญ่ทำการเกษตรที่มีความไม่แน่นอนสูง มีสัดส่วนผู้สูงวัยสูง2/ รวมทั้งจากผลสำรวจทักษะทางการเงินของชาวเหนือพบว่าภาคเหนือมีความรู้ทางการเงินน้อยกว่าภาคอื่น3/ การศึกษานี้จึงเจาะลึกสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในภาคเหนือ เพื่อสร้างความเข้าใจ หาวิธีป้องกัน และแก้ไขปัญหาหนี้ที่มีอยู่
ยังคงน่าเป็นห่วง สะท้อนจากภาระหนี้ต่อครัวเรือนในภาคเหนือที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 182,968 บาท ในปี 2566 จากช่วงก่อนโควิด ปี 2562 ที่ 154,064 บาท (รูปที่ 3) เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.4% ต่อปี4/ เป็นผลจากครัวเรือนมีรายได้เติบโตไม่ทันค่าใช้จ่าย โดยรายได้ครัวเรือนขยายตัว 4.3% ต่อปี4/ ขณะที่รายจ่ายครัวเรือนขยายตัว 5.0% ต่อปี4/ (รูปที่ 4) ครัวเรือนจึงต้องสร้างหนี้เพิ่ม และทำให้สัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้ปี 2566 ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากก่อนโควิดที่ 49%
ที่มา : 1 งานวิจัยของ BIS หัวข้อ "The real effects of household debt in the short and long run" (2017), https://www.bis.org/publ/work607.pdf
2 การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567 สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567, https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2025/20241209145003_88327.pdf
3 เจาะลึกทักษะทางการเงินของชาวเหนือ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ ปี 2567
4 คำนวณแบบ Compound Annual Growth Rate
แม้ในภาพรวมจะเห็นภาระหนี้ครัวเรือนในภาคเหนือปรับลดลงเล็กน้อยจากช่วงก่อนหน้า สะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) ของครัวเรือนภาคเหนือ ปี 2566 อยู่ที่ 22% ปรับลดลงเล็กน้อย [รูปที่ 5] แต่เป็นผลจากการปรับดีขึ้นในครัวเรือนกลุ่มรายได้สูงเป็นหลัก ขณะที่ครัวเรือนบางกลุ่มมีแนวโน้มเปราะบางมากขึ้น ตาม DSR ที่สูงกว่าภาพรวมภาคเหนือ ได้แก่
1. ครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อย มี DSR สูงถึง 40% และกำลังประสบปัญหาหนี้สินเกินตัว/5
2. ครัวเรือนในภาคเกษตรกรรม มี DSR อยู่ที่ 29% และสูงกว่าครัวเรือนที่ไม่ใช่เกษตรซึ่งอยู่ที่ 19%
3. ครัวเรือนที่อยู่ในกลุ่มเปราะบาง /6 มี DSR เฉลี่ย 28% อีกทั้ง สัดส่วนครัวเรือนเปราะบางเพิ่มขึ้นจาก 9% ก่อนโควิด เป็น 10% ในปี 2566 ซึ่งจะเจาะลึกในหัวข้อถัดไป
สาเหตุหลักที่ทำให้ครัวเรือนกลุ่มเปราะบางมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น เกิดจากรายได้โตไม่ทันรายจ่าย ในมุมมองของเม็ดเงิน เทียบก่อนโควิด [ปี 2566 เทียบกับปี 2562] รายได้ต่อเดือนของครัวเรือนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเพียง 1,818 บาท
ขณะที่ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้นสูงกว่าถึง 3,450 บาท และยังมีค่างวดต่อเดือนเพิ่มอีก 502 บาท ทำให้ต้องเผชิญความยากลำบากเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 211,811 บาท เป็น 256,012 บาท โดยครัวเรือนกลุ่มเปราะบางในภาคเหนือ จะมีลักษณะดังนี้:
การสัมภาษณ์ครัวเรือนกลุ่มเปราะบางในภาคเหนือ7/ เพื่อให้เห็นภาพที่แท้จริงและหาทางออกจากหนี้ พบว่าครัวเรือนมีหลายช่องทางในการเข้าถึงเงินทุน โดยมักเลือกแหล่งที่ เข้าถึงง่าย รวดเร็ว และไม่ต้องใช้เอกสารหรือหลักประกัน ก่อนแหล่งทางการ แม้จะมีดอกเบี้ยสูง สะท้อนถึงข้อจำกัดและโอกาสที่ไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการทางการเงิน เรียงลำดับดังนี้
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย