ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ได้ปรับปรุงสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน หรือที่รู้จักกันในชื่อ
“หนี้ครัวเรือน”
ให้มีความครอบคลุมเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้เครื่องชี้สามารถสะท้อนภาพภาระหนี้ที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
และยังเป็นข้อมูลสนับสนุนการออกนโยบายหรือมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
โดย
มีการปรับปรุงด้านขอบเขตของผู้ให้กู้
จากเดิมที่ครอบคลุมเฉพาะเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่รับฝากเงินและ
ไม่รับฝากเงิน
ได้เพิ่มความครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้ให้กู้อื่น ๆ ด้วย ได้แก่
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
การเคหะแห่งชาติ ธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด (พิโกไฟแนนซ์) และสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ
ที่นอกเหนือจากสหกรณ์ออมทรัพย์ซึ่งได้รวมอยู่ในสถิติเดิมแล้ว
สถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนที่ปรับปรุงแล้วมีข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ไตรมาส
1/2555 เป็นต้นไป โดย
การปรับปรุงครั้งนี้
ทำให้ยอดคงค้างของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน ณ ไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 16.0
ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วนร้อยละ 90.6 ต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากก่อนการปรับปรุง 7.7 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 4.3 ของ GDP
อย่างไรก็ตาม
โครงสร้างสัดส่วนเงินให้กู้ยืมที่จำแนกตามวัตถุประสงค์ยังคงใกล้เคียงกับโครงสร้างเดิมก่อน
การปรับปรุง
โดยเป็นการกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก
รองลงมาคือการกู้ยืมเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป และการกู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพ
การปรับปรุงความครอบคลุมของสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
หนี้ครัวเรือนเป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญตัวหนึ่งที่หน่วยงานภาครัฐทุกประเทศ
รวมถึงไทย โดย ธปท. ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากเป็นเครื่องชี้ที่สะท้อนถึงความมีเสถียรภาพหรือความเปราะบางทางเศรษฐกิจของครัวเรือน
ซึ่งสามารถส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศได้
นอกจากนี้ยังสามารถสะท้อนโครงสร้างของตลาดสินเชื่อภาคครัวเรือน
ประเทศไทยมีระบบการเงินที่พึ่งพิงธนาคารเป็นหลักหรือที่เรียกว่า
Bank-based
economy ดังนั้นผู้ให้กู้หลักแก่ภาคครัวเรือนจึงเป็นธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ
จากรูปที่ 1 เห็นได้ว่าธนาคารเป็นผู้ให้กู้
ที่ครองสัดส่วนตลาดมากกว่าร้อยละ 70
ของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนทั้งหมดมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี ในช่วง 10
ปี
ที่ผ่านมา บทบาทของธนาคารมีแนวโน้มค่อย ๆ ลดลง
และถูกแทนที่ด้วยเงินให้กู้ยืมจากสหกรณ์ออมทรัพย์และ
สถาบันการเงินอื่น
โดยเฉพาะธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ลีสซิ่ง
และบริษัทบัตรเครดิต ค่อย ๆ เพิ่มบทบาทมากขึ้น
สังเกตได้จากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 1 แผนภูมิยอดคงค้างเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามผู้ให้กู้และเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ
GDP
ก่อนการปรับปรุงความครอบคลุม
|
การศึกษาเชิงประจักษ์หลายชิ้นบ่งชี้ว่า
การขยายตัวของระดับหนี้ครัวเรือนเป็นการเพิ่มความเสี่ยง
การเกิดวิกฤตการเงินและสามารถนำไปสู่การชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในบทความเรื่องหนี้ครัวเรือนและเสถียรภาพทางการเงินของ IMF
ปี 2017 ระบุว่า อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่เพิ่มขึ้นมีทั้งผลดีและผลเสีย
อย่างไรก็ตาม
ผลดีจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น
แต่กลับส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินในระยะกลางและระยะยาว
โดยในระยะสั้น หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับการบริโภคและการจ้างงานที่สูงขึ้น
ซึ่งส่งผลให้เกิดการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจ แต่ผลดีเหล่านี้จะกลับสู่สภาพเดิมภายใน
3 - 5 ปี
การขยายตัวมากขึ้นของหนี้ครัวเรือนในระยะกลางและระยะยาวนั้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตในระบบการเงิน
เนื่องจากอาจส่งผลให้ภาคครัวเรือนไม่สามารถ
ชำระหนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นหากเกิดการผิดนัดชำระหนี้ในวงกว้างอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจได้ในที่สุด
ผลเสียเหล่านี้
จะยิ่งมากขึ้นเมื่อระดับหนี้ครัวเรือนยิ่งสูงและเห็นชัดเจนในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว
(Advanced market economies) มากกว่าเขตเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่
(Emerging market economies)
ที่ส่วนใหญ่มีระดับหนี้ครัวเรือนและ
การมีส่วนร่วมในตลาดสินเชื่อต่ำกว่าตามรูปที่
2
รูปที่ 2 หนี้ครัวเรือนต่อ
GDP ณ
ไตรมาส 4/2565
ของเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่
|
ที่มา: BIS (ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ) / จัดทำแผนภูมิ: ธปท.
|
ธปท.
รวมทั้งหน่วยงานผู้ให้กู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลหนี้ครัวเรือนเช่นเดียวกับ
งานศึกษาตามที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับการให้กู้ยืมของผู้ให้กู้กลุ่มอื่น ๆ
ที่นอกเหนือจากสถาบันการเงินมีบทบาทและขนาดที่มีนัยสำคัญ
รวมถึงหน่วยงานผู้ให้กู้อื่น ๆ มีความพร้อมของข้อมูลมากขึ้น ธปท.
จึงได้ทบทวนและปรับปรุงข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
ให้ครอบคลุมมากกว่าเงินกู้ยืมจากกลุ่มผู้ให้กู้ที่จัดเก็บอยู่เดิม
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่
สะท้อนภาพภาระทางการเงินของภาคครัวเรือนให้ครบถ้วนใกล้เคียงจริงมากที่สุด
เพื่อใช้ในการดำเนินนโยบาย
ทางเศรษฐกิจ
และนโยบายการแก้ปัญหาหนี้ให้แก่ครัวเรือนที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
(Loans
to Household) สถิติทางการที่ ธปท. เผยแพร่
มักถูกนำไปใช้อ้างอิงเป็นข้อมูลหนี้ครัวเรือน (Household debts) จนผู้ใช้บางส่วนเข้าใจว่า ข้อมูลทั้ง 2 ชุด คือข้อมูลเดียวกัน อย่างไรก็ดี
ตามมาตรฐานสากลสถิติทั้ง 2 ชุด มีนิยามและองค์ประกอบความครอบคลุมแตกต่างกัน
ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
ยังมิได้มีนิยามหรือองค์ประกอบที่เป็นสากล ในแต่ละประเทศจึงมีรายละเอียด
ความครอบคลุมที่ต่างกันทั้งในมิติของผู้ให้กู้และวัตถุประสงค์การกู้ยืม
เนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งข้อมูล
หน่วยงานผู้จัดทำข้อมูลจึงใช้ความพยายามอย่างที่สุด (best
effort) ในการรวบรวมจากแหล่งข้อมูลเท่าที่จะทำได้ โดยมิติผู้ให้กู้
ข้อมูลของบางประเทศครอบคลุมแค่สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์เนื่องจากกำกับดูแล
โดยธนาคารกลางซึ่งเป็นผู้จัดทำสถิติ
บางประเทศขอความร่วมมือจากภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น สถาบันการเงินอื่น หน่วยงานราชการ
หรือภาคธุรกิจร่วมด้วย ทำให้มีความครอบคลุมในมิติของผู้ให้กู้กว้างมากขึ้น
สำหรับมิติ
ด้านวัตถุประสงค์
ข้อมูลของบางประเทศครอบคลุมเฉพาะการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล
และบางประเทศครอบคลุมถึงการนำไปประกอบอาชีพด้วย
ความครอบคลุมของข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ครัวเรือนของไทย
และตัวอย่างคำศัพท์
และนิยามของประเทศต่าง ๆ แสดงดังตารางที่
1
ตารางที่ 1
ตัวอย่างคำศัพท์ที่ใช้เรียกเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนของประเทศต่าง
ๆ
ประเทศ/
กลุ่มประเทศ
|
คำศัพท์ที่ใช้เรียก
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
(Term)
|
ความหมาย
|
ไทย
|
Loans to
Households
|
เงินให้กู้ยืมทุกประเภทที่ให้แก่บุคคลธรรมดาที่อยู่อาศัยในประเทศ
(resident) ทั้งเงินเบิกเกินบัญชี เงินให้กู้ยืมทั่วไป ตั๋วเงินที่เปลี่ยนมือไม่ได้
และเงินลงทุนในลูกหนี้ รวมทุกสกุลเงินในทุกวัตถุประสงค์
โดยรวมเฉพาะส่วนที่เป็นเงินต้น
(ไม่รวมดอกเบี้ยคงค้าง)
|
ญี่ปุ่น
|
Loans to
Households
|
เงินให้กู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัยและเพื่ออุปโภคบริโภค
|
สหภาพยุโรป
|
Loans granted to
households
|
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนและองค์กรไม่แสวงหากำไร
|
มาเลเซีย
|
Loans to Household
sector
|
เงินให้กู้ยืมแก่บุคคลธรรมดาของธนาคาร
(ไม่รวม non-bank)
โดยไม่รวมเงินกู้เพื่อประกอบกิจการ
|
ฝรั่งเศส
|
Loans to
individuals
|
เงินให้กู้ยืมแก่บุคคลธรรมดาจากสถาบันการเงินในประเทศ
|
อังกฤษ
|
Lending to Individuals
(excluding student loans)
|
เงินให้กู้ยืมแก่บุคคลธรรมดาจากสถาบันการเงิน
โดยไม่รวมเงินกู้ยืม
เพื่อการศึกษาและเพื่อประกอบกิจการ
|
แคนาดา
|
Credit liabilities of
households
|
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
(รวมกิจการที่ไม่จดทะเบียนเป็น
นิติบุคคล) จากทุกภาคเศรษฐกิจ
|
เกาหลีใต้
|
Credit to
households
|
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจากสถาบันการเงินที่รับฝากเงิน
สถาบันการเงินที่ไม่รับฝากเงิน และสินเชื่อการค้า
|
สิงคโปร์
|
Consumer
loans
|
เงินให้กู้ยืมและเงินทดรองจากธนาคารแก่บุคคลธรรมดา
โดยไม่รวม
เงินให้กู้ยืมเพื่อประกอบกิจการ
|
สหรัฐอเมริกา
|
Consumer
Credit
|
เงินให้กู้ยืมแก่บุคคลธรรมดาเพื่ออุปโภคบริโภคในครัวเรือน
โดย
ไม่รวมเงินกู้ยืมที่มีอสังหาริมทรัพย์ค้ำประกัน
|
ขณะที่
หนี้ครัวเรือน (Household
debt)
ตามนิยามขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น BIS (ธนาคาร
เพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ) IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) หรือ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) หมายถึง หนี้สินรวมทั้งหมด
ซึ่งประกอบด้วยเครื่องมือทางการเงินทุกประเภท ได้แก่ ตราสารหนี้ (debt
securities) เงินกู้ยืม (loans) รวมถึงหนี้สินอื่น ๆ ของภาคครัวเรือน ที่มีต่อทุกภาคเศรษฐกิจ
ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
โดยเงินกู้ยืมเป็นหนี้สินที่รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยคงค้าง
ส่วนตราสารหนี้
เป็นหนี้สินตามมูลค่าตลาด
หนี้ครัวเรือนที่มีความครอบคลุมครบถ้วนตามนิยามสากลข้างต้น
จำเป็นต้องใช้ข้อมูลในระบบบัญชีประชาชาติ หรือ System
of National Accounts จากส่วนที่เป็นงบแสดงฐานะการเงินแบบจำแนกภาคเศรษฐกิจของคู่สัญญาของภาคครัวเรือน
หรือ Household and NPISHs Sectoral Balance Sheet อย่างไรก็ตาม
ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลงบแสดงฐานะการเงินดังกล่าวที่สมบูรณ์ ดังนั้น
ถึงแม้ว่าความครอบคลุมของข้อมูลชุด
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจะแคบกว่า
แต่ก็เป็นข้อมูลที่มีขอบเขตใกล้เคียงมากที่สุดที่สามารถนำมาใช้ทดแทนได้
ประเทศไทยจึงใช้ข้อมูลสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนและสถิติหนี้ครัวเรือนเป็นข้อมูลชุดเดียวกัน
ซึ่ง
การเปรียบเทียบความครอบคลุมของหนี้ครัวเรือน ตามนิยามสากล
และเงินให้กู้ยืมแก่ครัวเรือนของไทย
แสดงดังตารางที่
2
ตารางที่
2
เปรียบเทียบความครอบคลุมของหนี้ครัวเรือน (ตามนิยามสากล)
และเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
ของไทย
(ก่อนการปรับปรุง)
มิติต่าง ๆ
ของความครอบคลุม
|
หนี้ครัวเรือน
(นิยามสากล)
|
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
หรือ หนี้ครัวเรือนของไทย
(ก่อนการปรับปรุง)
|
1.
ผู้กู้
|
|
|
|
ครัวเรือน
|
P
|
P
|
|
องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ให้บริการครัวเรือน
(NPISHs*)
|
P
|
Î
|
2.
ผู้ให้กู้
|
|
|
|
สถาบันการเงิน
|
P
|
P
|
|
ภาครัฐบาล
|
P
|
Î
|
|
ภาคธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
|
P
|
Î
|
|
เจ้าหนี้ต่างประเทศ
|
P
|
Î
|
3.
เครื่องมือทางการเงิน
|
|
|
|
เงินกู้ยืม
|
P
|
P
|
|
ตราสารหนี้
|
P
|
Î
|
|
หนี้สินอื่น ๆ เช่น
หนี้สินทางการค้า
|
P
|
Î
|
4.
การวัดมูลค่า
|
|
|
|
เงินกู้ยืม
|
|
|
|
|
เงินต้น
|
P
|
P
|
|
|
ดอกเบี้ยค้างรับ
|
P
|
Î
|
|
ตราสารหนี้
|
|
|
|
|
มูลค่าตลาด
|
P
|
-
|
*ตัวอย่างขององค์กรไม่แสวงหากำไรที่ให้บริการครัวเรือน หรือ
NPISHs ได้แก่ วัด โบสถ์ องค์กรทางศาสนา มูลนิธิเพื่อการกุศล
สโมสรกีฬา สหภาพแรงงาน และพรรคการเมือง
ทั้งนี้
แต่ละประเทศมักนำสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนหรือหนี้ครัวเรือนมาจัดทำเป็นอัตราส่วนหนี้สินของภาคครัวเรือนต่อ
GDP ของประเทศ
เพื่อประเมินระดับหนี้ของภาคครัวเรือนมีมาก-น้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งจากฐานข้อมูลของ BIS ประเทศต่าง ๆ
มีอัตราส่วนของหนี้ครัวเรือนต่อ GDP
ตามตารางที่
3
ตารางที่ 3 ตัวอย่างอัตราส่วนหนี้สินของภาคครัวเรือนต่อ
GDP ของประเทศต่าง
ๆ ณ ไตรมาส 4/2565 จากฐานข้อมูลของ
BIS
ประเทศ/กลุ่มประเทศ
|
หนี้สินของภาคครัวเรือนต่อ GDP*
ณ ไตรมาส
4/2565
|
ไทย**
|
87.7
|
ญี่ปุ่น
|
68.2
|
สหภาพยุโรป
|
57.4
|
มาเลเซีย
|
66.8
|
ฝรั่งเศส
|
66.2
|
สหราชอาณาจักร
|
83.5
|
แคนาดา
|
102.4
|
เกาหลีใต้
|
105.0
|
สิงคโปร์
|
48.6
|
สหรัฐอเมริกา
|
74.4
|
จีน
|
61.3
|
*Total credit to households
(core debt) to GDP (BIS) ซึ่งผู้กู้รวมองค์กรไม่แสวงหากำไร
** ก่อนการปรับปรุง
3.
การปรับปรุงสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
สถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนของ
ธปท. ก่อนการปรับปรุง ประกอบด้วย
สถิติเงินให้กู้ยืมแก่
ภาคครัวเรือนที่จำแนกตามสถาบันผู้ให้กู้และตามวัตถุประสงค์การกู้
โดยมิติของผู้ให้กู้ ธปท.
ได้จัดเก็บและขยายความครอบคลุมข้อมูลการให้กู้ยืมของผู้ให้กู้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสถิติชุดล่าสุดก่อนการปรับปรุงมีองค์ประกอบของผู้ให้กู้ ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์
สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่รับฝากเงิน บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
และสหกรณ์ออมทรัพย์ นอกจากนี้ ธปท.
ยังได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานกำกับดูแลอื่นและจากสถาบันการเงินโดยตรง
เช่น ธุรกิจสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank)
บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต
บริษัทหลักทรัพย์
ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โรงรับจำนำ เป็นต้น ดังรายละเอียดตามตารางที่ 4 สถิติชุดนี้เริ่มเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2556 โดยมีข้อมูลย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี
2546
ส่วนมิติวัตถุประสงค์การกู้ยืม
ธปท. เห็นว่า
ข้อมูลที่จำแนกวัตถุประสงค์จะช่วยให้ผู้ใช้ข้อมูลทราบถึง
การนำเงินกู้ยืมไปใช้ในวัตถุประสงค์ต่าง
ๆ
รวมทั้งช่วยในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของสินเชื่อ
แต่ละประเภทได้ดียิ่งขึ้น
จึงได้จัดทำและเผยแพร่สถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์
เมื่อต้นปี
2563
โดยมีข้อมูลย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี
2555 โดยวัตถุประสงค์ที่จำแนกได้มีดังต่อไปนี้
Ø
เพื่ออุปโภคบริโภค
·
เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์
·
ซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์
·
เพื่อการศึกษา
·
อุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น
§
บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของ
ธปท.
§
สินเชื่อส่วนบุคคลอื่น
ๆ (ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท.)
Ø
เพื่อประกอบอาชีพ
Ø
อื่น
ๆ
สำหรับการปรับปรุงสถิติในครั้งนี้เป็นการขยายความครอบคลุมของผู้ให้กู้เพิ่มเติมจากเดิมที่มีเฉพาะ
สถาบันการเงิน
โดยมีปัจจัยหรือเกณฑ์ในการเลือกแหล่งข้อมูล ได้แก่ ความคุ้มค่า
(cost
and benefit)
ความมีสาระสำคัญของข้อมูล (materiality)
คุณภาพของข้อมูล ความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล
ความสม่ำเสมอ
ของการเผยแพร่จากแหล่งข้อมูล ภาระของผู้รายงาน
ความต่อเนื่องเพียงพอของข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์
อนุกรมเวลา (time
series) รวมถึงการทำประมาณการเพิ่มเติมจากข้อมูลที่ได้รับที่จะต้องสามารถทำได้โดยใช้
หลักสถิติที่สมเหตุสมผล
จากการพิจารณาปัจจัยตามที่กล่าวถึงข้างต้น ธปท. ได้เลือกข้อมูลจาก 4 แหล่งเพื่อนำมาปรับปรุงสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
ซึ่งรวมทั้งผู้ให้กู้ที่อยู่ในภาครัฐและภาคเอกชนด้วย
ได้แก่
Ø
การเคหะแห่งชาติ
Ø
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
Ø
ธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด
หรือ พิโกไฟแนนซ์
Ø
สหกรณ์ประเภทอื่น
ๆ นอกเหนือจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ได้แก่ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
สหกรณ์การเกษตร
สหกรณ์ประมง สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์นิคม และสหกรณ์บริการ
กลุ่มผู้ให้กู้เหล่านี้ได้เข้ามามีบทบาทในตลาดสินเชื่อภาคครัวเรือนมากขึ้นเรื่อย
ๆ โดยในช่วง 10
ปีที่ผ่านมา มีการให้เงินกู้ยืมแก่ครัวเรือนเพิ่มขึ้นถึงเกือบร้อยละ
50 กล่าวคือเพิ่มขึ้นจากราว 5 แสนล้านบาท ณ ไตรมาส 1
ปี 2555 มาเป็น 7.7 แสนล้านบาท ณ ไตรมาส 1 ปี 2566
ความครอบคลุมของกลุ่มผู้ให้กู้สำหรับสถิติชุดที่ปรับปรุงแล้ว
สามารถจำแนกเป็นสถาบันรับฝากเงิน สถาบันการเงินอื่น และภาคเศรษฐกิจอื่น
ดังรายละเอียดตามตารางที่ 4
โดยมีข้อมูลย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1
ปี 2555 ในขณะที่ข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์ภายหลังการปรับปรุงไม่มี
การเปลี่ยนแปลงรายการวัตถุประสงค์จากเดิม
อย่างไรก็ตาม
การขยายความครอบคลุมของผู้ให้กู้ทำให้จำเป็นต้องสร้างชุดข้อมูลใหม่อีกหนึ่งชุด
โดยมีข้อมูลย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2555
เช่นกัน
เพื่อให้แนวโน้มของข้อมูล
มีความต่อเนื่องและมีข้อมูลในช่วงระยะเวลาที่ยาวเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์และการพยากรณ์ได้
ตารางที่
4
การเปรียบเทียบความครอบคลุมในมิติของผู้ให้กู้ในชุดข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
ความครอบคลุมก่อนปรับปรุง
|
ความครอบคลุมหลังปรับปรุง
|
Ø
สถาบันการเงินที่รับฝากเงิน
|
Ø
สถาบันการเงินที่รับฝากเงิน
|
·
ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ
|
·
ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ
|
·
สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รับฝากเงิน
|
·
สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รับฝากเงิน
|
·
สหกรณ์ออมทรัพย์
|
·
สหกรณ์ออมทรัพย์
|
·
สถาบันรับฝากเงินอื่นๆ
|
·
สถาบันรับฝากเงินอื่นๆ
(รวมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน)
|
Ø
สถาบันการเงินอื่น
|
Ø
สถาบันการเงินอื่น
|
·
บริษัทบัตรเครดิต
ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล
|
·
บริษัทบัตรเครดิต
ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล
|
·
บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต
|
·
บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต
|
·
บริษัทหลักทรัพย์
|
·
บริษัทหลักทรัพย์
|
·
ธุรกิจบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน
|
·
ธุรกิจบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน
|
·
โรงรับจำนำ
|
·
โรงรับจำนำ
|
·
สถาบันการเงินอื่นๆ
|
·
สถาบันการเงินอื่นๆ
(รวมธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด
หรือ พิโกไฟแนนซ์)
|
|
Ø
ภาคเศรษฐกิจอื่น
(กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา,
การเคหะแห่งชาติ, สหกรณ์การเกษตร, สหกรณ์บริการ, สหกรณ์นิคม, สหกรณ์ประมง, สหกรณ์ร้านค้า)
|
เมื่อปรับปรุงความครอบคลุมของสถาบันผู้ให้กู้แล้ว
ยอดคงค้างรวมของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน ณ
ไตรมาส 1 ปี 2566 เพิ่มขึ้น 7.7
แสนล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 86.3 เป็นร้อยละ 90.6
รูปที่ 3
แผนภูมิเปรียบเทียบยอดคงค้างเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
และหนี้ครัวเรือนต่อ GDP
ก่อนและหลังการปรับปรุงความครอบคลุม
|
รูปที่ 4
แผนภูมิเปรียบเทียบสัดส่วนเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกวัตถุประสงค์ ณ
ไตรมาส 1/2566
ก่อนและหลังการปรับปรุงความครอบคลุม
|
สำหรับวัตถุประสงค์การกู้ยืมที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมากที่สุด
คือวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษา โดย
ณ ไตรมาส 1 ปี 2566 เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาเพิ่มขึ้นจากสถิติชุดเดิม 4.8 แสนล้านบาทหรือมากกว่า 2 เท่า
แต่โดยรวมแล้วสัดส่วนของเงินกู้ยืมแต่ละวัตถุประสงค์ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก
โดยวัตถุประสงค์หลักยังคง
เป็นการกู้ยืมเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์
รองลงมาคือการกู้ยืมเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล
4.
บทสรุป
สถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
เป็นข้อมูลที่หลายภาคส่วนให้ความสนใจติดตามอยู่เสมอ
เนื่องจากเป็นเครื่องชี้ที่ช่วยสะท้อนถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของภาคครัวเรือนในประเทศ
ที่ผ่านมา ธปท. จึงมีการปรับปรุงขยายความครอบคลุมสถิติดังกล่าวอยู่เป็นระยะ ๆ
สำหรับการปรับปรุงในครั้งนี้
เพื่อให้สถิติดังกล่าวสะท้อนระดับหนี้ของภาคครัวเรือนที่ใกล้เคียงจริงมากที่สุด
ธปท.
และหน่วยงานผู้ให้กู้มีความพยายามในการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลจากทุกแหล่งที่สามารถเข้าถึงได้
ซึ่งได้เพิ่มความครอบคลุมเงินให้กู้ยืมของกลุ่มผู้ให้กู้อื่น ๆ ได้แก่ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
การเคหะแห่งชาติ ธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ และสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ เข้ามาด้วย
เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลที่มีบทบาทการให้กู้ยืมแก่ครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งมีความพร้อมทั้งด้านคุณภาพของข้อมูล
และ
การให้ข้อมูลที่เพียงพอเพื่อให้สามารถใช้งานและเผยแพร่ได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี สถิติเงินให้กู้ยืมแก่
ภาคครัวเรือนของไทยมีนิยามและขอบเขตใกล้เคียงกับข้อมูลของต่างประเทศแต่ยังไม่ครอบคลุมในมิติต่าง
ๆ
เท่ากับหนี้สินของภาคครัวเรือนตามนิยามสากลขององค์กรระหว่างประเทศ
ข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ
GDP
หลังการปรับปรุงมีการปรับเพิ่มขึ้นจากข้อมูลก่อนปรับปรุงเฉลี่ยร้อยละ
4.5 ตลอดทั้งชุดข้อมูล
โดยในข้อมูลที่จำแนกตามผู้ให้กู้มีการเพิ่มผู้ให้กู้ภาคอื่น ๆ
เข้ามาด้วยนอกเหนือจากภาคสถาบันการเงิน
ส่วนข้อมูลที่จำแนกตามวัตถุประสงค์การกู้ยืมมีความใกล้เคียงกับสัดส่วนเดิม
มีเพียงสัดส่วนของเงินกู้เพื่อการศึกษาที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 4
ของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนทั้งหมด
ทั้งนี้
ธปท.
กำหนดการเผยแพร่ข้อมูลสถิติชุดใหม่ที่จำแนกตามกลุ่มสถาบันผู้ให้กู้และวัตถุประสงค์การกู้
เป็นรายไตรมาส
ล่าช้า 1
ไตรมาส เริ่มตั้งแต่ข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2566
โดยมีข้อมูลย้อนหลังถึงงวดไตรมาส 1
ปี 2555 ในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป และสำหรับสถิติชุดปัจจุบันจะเผยแพร่จนถึงข้อมูลงวดไตรมาส
4
ปี 2566
ตารางที่
1
การเปรียบเทียบข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามผู้ให้กู้ชุดเดิมกับข้อมูลปัจจุบัน
หลังการปรับปรุงความครอบคลุมสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2566
(หน่วย:
ล้านบาท)
|
|
|
|
ก่อนปรับปรุง
|
หลังปรับปรุง
|
|
|
Q1/2566
|
Q1/2566
|
1
|
สถาบันรับฝากเงิน
|
12,834,383
|
12,890,446
|
2
|
ธนาคารพาณิชย์
|
6,327,510
|
6,327,510
|
3
|
สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รับฝากเงิน
|
4,262,938
|
4,262,938
|
4
|
สหกรณ์ออมทรัพย์
|
2,241,722
|
2,241,722
|
5
|
สถาบันรับฝากเงินอื่นๆ
|
2,213
|
58,276
|
6
|
สถาบันการเงินอื่น
|
2,359,634
|
2,366,114
|
7
|
บริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง
และสินเชื่อส่วนบุคคล
|
1,848,409
|
1,848,409
|
8
|
บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต
|
179,401
|
179,401
|
9
|
บริษัทหลักทรัพย์
|
116,460
|
116,460
|
10
|
ธุรกิจบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน
|
87,955
|
87,955
|
11
|
โรงรับจำนำ
|
82,264
|
82,264
|
12
|
สถาบันการเงินอื่นๆ
|
45,145
|
51,625
|
13
|
อื่น
ๆ
|
-
|
703,741
|
14
|
รวม
|
15,194,016
|
15,960,301
|
15
|
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ
GDP
(%)
|
86.3
|
90.6
|
16
|
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ
GDP
ปรับฤดูกาล (%)
|
86.2
|
90.6
|
ตารางที่
2
การเปรียบเทียบข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์การกู้ยืมชุดเดิมกับข้อมูลปัจจุบันหลังการปรับปรุงความครอบคลุมสำหรับงวดไตรมาส
1 ปี 2566
(หน่วย: ล้านบาท)
|
|
|
|
ก่อนปรับปรุง
|
หลังปรับปรุง
|
| |
Q1/2566
|
Q1/2566
|
1
|
เพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล
|
11,615,763
|
12,140,717
|
2
|
เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์
|
5,341,316
|
5,352,505
|
3
|
ซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์
|
1,809,336
|
1,809,336
|
4
|
เพื่อการศึกษา
|
211,858
|
696,449
|
5
|
อุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น
|
4,253,253
|
4,282,427
|
6
|
of which บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้
การกำกับของธปท.
|
1,233,927
|
1,233,927
|
7
|
เพื่อประกอบอาชีพ
|
2,714,557
|
2,897,568
|
8
|
อื่นๆ
|
863,697
|
922,015
|
9
|
รวม
|
15,194,016
|
15,960,301
|
10
|
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ
GDP
(%)
|
86.3
|
90.6
|
เอกสารอ้างอิง
Bank for International Settlements. (2
มิถุนายน 2566). Total credit to households (core debt): BIS. เรียกใช้เมื่อ 20 มิถุนายน 2566 จาก เว็บไซต์ Bank for
International Settlements: https://stats.bis.org/statx/srs/table/f3.1
Bank
for International Settlements. (ม.ป.ป.). About credit
statistics: BIS. เรียกใช้เมื่อ 20 เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์
Bank for International Settlements:
https://www.bis.org/statistics/about_credit_stats.htm?m=2673
Bank
Negara Malaysia. (ม.ป.ป.). Publications - Monthly
Highlights & Statistics in April
2022. เรียกใช้เมื่อ 14 มิถุนายน 2565 จาก
เว็บไซต์ Bank Negara Malaysia:
https://www.bnm.gov.my/-/monthly-highlights-statistics-in-april-2022
Bank
of England. (14 กุมภาพันธ์ 2562). Further details about
total lending to individuals data. เรียกใช้เมื่อ 14 มิถุนายน
2565 จาก เว็บไซต์ Bank of England:
https://www.bankofengland.co.uk/statistics/details/further-details-about-total-lending-to-individuals-data
Bank
of Japan. (ม.ป.ป.). [Notes on Statistics]
Monetary Aggregates (Market volume, outstanding) / Outstanding of Deposits and
Loans. เรียกใช้เมื่อ 28 เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์ Bank
of Japan: https://www.boj.or.jp/en/statistics/outline/note/notest33.htm/#08
Bank
of Korea. (28 พฤษภาคม 2565). Economic Statisitics System
- Search Stat. เรียกใช้เมื่อ 14 มิถุนายน 2565 จาก เว็บไซต์
Economic Statisitics System: https://ecos.bok.or.kr/#/SearchStat
Banque
de France. (1 เมษายน 2565). Loans to individuals, France
2022Feb. เรียกใช้เมื่อ 20 เมษายน 2565 จาก
เว็บไซต์ Banque de France:
https://www.banque-france.fr/en/statistics/loans-individuals-france-2022feb
Board
of Governors of the Federal Reserve System. (5 มิถุนายน 2563).
The Fed - Consumer Credit - G.19 - About. เรียกใช้เมื่อ 13 มิถุนายน 2565 จาก เว็บไซต์ Federal Reserve
Board: https://www.federalreserve.gov/releases/g19/about.htm
European
Central Bank. (18 สิงหาคม 2563). European Central Bank -
Statistical Data Warehouse - Quick View. เรียกใช้เมื่อ 18
เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์ European Central Bank:
https://sdw.ecb.europa.eu/quickview.do?SERIES_KEY=332.QSA.Q.N.I8.W0.S1M.S1.N.L.LE.F4.T._Z.XDC_R_B1GQ_CY._T.S.V.N._T
Monetary
and Financial Dept. International Monetary Fund. . (ตุลาคม 2560).
Global Financial Stability Report, October 2017
Is Growth at Risk? Washington, D.C.:
International Monetary Fund.
Monetary
Authority of Singapore. (26 กุมภาพันธ์ 2563). MAS
Monthly Statistical Bulletin - I.5A Commercial Banks: Loans
and Advances to Residents by Industry. เรียกใช้เมื่อ 13
มิถุนายน 2565 จาก เว็บไซต์ Monetary Authority of Singapore:
https://eservices.mas.gov.sg/statistics/msb-xml/Report.aspx?tableSetID=I&tableID=I.5A
OECD. (ม.ป.ป.). Household accounts - Household debt - OECD
Data. เรียกใช้เมื่อ 18 เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์ OECD:
https://data.oecd.org/hha/household-debt.htm
Statistics
Canada. (18 ธันวาคม 2563). Guide to the Monthly Credit
Aggregates. เรียกใช้เมื่อ 14 มิถุนายน 2565 จาก เว็บไซต์
Statistics Canada: https://www150.statcan.gc.ca/n1/en/pub/13-605-x/2020001/article/00004-eng.pdf?st=C41h4j3e
Statistics
Canada. (13 มิถุนายน 2565). Credit liabilities of
households. doi:https://doi.org/10.25318/3610063901-eng
ธนาคารแห่งประเทศไทย.ทีมสถิติการเงินการคลัง
1-2. (ม.ป.ป.). คำอธิบายข้อมูล: EC_MB_039 เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน.
เรียกใช้เมื่อ 18 เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย: https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/DownloadFile.aspx?file=EC_MB_039_TH.PDF
รชต
ตั้งนรารัชชกิจ. (18 มกราคม 2565). หนี้ครัวเรือน:
ปัญหาที่ทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันแก้. เข้าถึงได้จาก
เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย: https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_18Jan2022-2.aspx
ผู้จัดทำ