ดาวน์โหลดบทความฉบับเต็มได้ที่นี่
การปรับปรุงสถิติการคลังตามคู่มือ GFS 2014 และ PSDS 2013
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดทำและเผยแพร่ข้อมูลสถิติการคลังตามคู่มือการประมวลผลสถิติการคลัง (Government Finance Statistics : GFS) ฉบับปี 2001 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ซึ่งคู่มือการประมวลผลสถิติการคลังที่ IMF ปรับปรุงและเป็นแนวปฏิบัติฉบับล่าสุดของประเทศสมาชิกคือ GFS ฉบับปี 2014 ดังนั้นเพื่อให้การจัดทำสถิติภาครัฐเป็นไปตามมาตรฐานสากล ธปท. จึงปรับปรุงการเผยแพร่สถิติการคลังให้สอดคล้องกับคู่มือฉบับล่าสุด และสอดคล้องกับข้อมูลการคลังที่เผยแพร่โดยสำนักเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รวมถึงมีการนำคู่มือการจัดทำสถิติหนี้ภาครัฐ (Public Sector Debt Statistics : PSDS) ของ IMF ฉบับปี 2013 มาประกอบกับการจัดทำและเผยแพร่ข้อมูลหนี้ภาครัฐ โดยมีการปรับปรุงสถิติการคลัง 3 เรื่อง ดังนี้
1. งบกระแสเงินสดรัฐบาล เดิมจัดทำสถิติตามกรอบ GFS 2001 เปลี่ยนมาปรับปรุงตามกรอบมาตรฐาน GFS 2014 โดยเป็นการปรับนิยามของการเปลี่ยนแปลงสุทธิในปริมาณเงินสด (Net change in stock of cash) ซึ่งทำให้เครื่องหมาย (+ และ -) มีทิศทางแตกต่างจากเดิม และการตีความหมายเปลี่ยนจากมุมมองที่พิจารณาจากกระแสเงินสดไหลเข้าและออก เป็นมุมมองที่พิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสินทรัพย์ในรูปเงินสดและเงินฝากของรัฐบาล
2. สถิติหนี้ภาครัฐ มี 2 ประเภท คือ 1) การปรับให้เข้าสู่กรอบมาตรฐาน PSDS 2013 ประกอบด้วย การปรับวิธีการจำแนกหนี้รัฐบาลตามเกณฑ์ถิ่นที่อยู่ของผู้ถือครองหรือเจ้าหนี้ (Residence of creditors) จากเดิมจำแนกตามเกณฑ์แหล่งระดมเงินกู้ และกรณีหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งการค้ำประกันดังกล่าว ไม่เปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของ จึงมีการปรับข้อมูลการถือครองหลักทรัพย์ให้สะท้อนผู้ถือครองที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง (เกณฑ์บัญชี) จากเดิมสะท้อนผู้ถือครองหลักทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกัน (เกณฑ์สิทธิ) 2) การเพิ่มรายละเอียดของข้อมูลพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาล รวมทั้งปรับการแสดงข้อมูลของตั๋วสัญญาใช้เงิน (ที่ไม่สามารถซื้อขายได้) ของรัฐวิสาหกิจเป็นเงินกู้
3. สถิติรายจ่ายรัฐบาลตามลักษณะเศรษฐกิจ มีรายจ่ายบางธุรกรรมหากบันทึกตามกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริง อาจไม่สะท้อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างภาครัฐกับภาคอื่น ๆ จึงมีการปรับปรุงใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1) การปรับการบันทึกรายจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญของข้าราชการที่เกษียณอายุ จากรหัสเศรษฐกิจ 21 ค่าตอบแทนแรงงาน (Compensation of employees) ตามเกณฑ์คงค้าง (Accrual basis) เป็น รหัสเศรษฐกิจ 27 เงินสังคมสงเคราะห์ (Social benefits) บันทึกตามเกณฑ์เงินสด (Cash basis) 2) เพิ่มการบันทึกรายจ่ายดอกเบี้ยที่เกิดจากการระดมทุนตั๋วเงินคลังและพันธบัตรรัฐบาล ที่มีการขายสูงหรือต่ำกว่าราคาพาร์ (Premium/Discount Bond)
การปรับปรุงสถิติการคลังครั้งนี้ จะทำให้ข้อมูลสถิติการคลังที่ ธปท. เผยแพร่ มีข้อมูลที่เปลี่ยนไป รวมทั้งมีรายละเอียดมากขึ้นจากเดิม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานข้อมูล อีกทั้งยังทำให้สามารถเชื่อมโยงกับบัญชีเศรษฐกิจอื่น ๆ มากขึ้น โดยในบทความนี้จะอธิบายถึงการปรับปรุงสถิติการคลังตามคู่มือของ IMF รวมทั้งสรุปผลกระทบจากการปรับปรุงต่อตารางสถิติที่ ธปท. เผยแพร่บน BOT Website เพื่อให้สาธารณชนได้ทราบ และนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
ผู้จัดทำ
คธาฤทธิ์ สิทธิกูล
ชนิดา เงาจินตรักษ์
ภัทรกร ทองสถิตย์
Stat Horizon พฤศจิกายน 2564
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ได้ปรับปรุงสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน หรือที่รู้จักกันในชื่อ
“หนี้ครัวเรือน”
ให้มีความครอบคลุมเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้เครื่องชี้สามารถสะท้อนภาพภาระหนี้ที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
และยังเป็นข้อมูลสนับสนุนการออกนโยบายหรือมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
โดย
มีการปรับปรุงด้านขอบเขตของผู้ให้กู้
จากเดิมที่ครอบคลุมเฉพาะเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่รับฝากเงินและ
ไม่รับฝากเงิน
ได้เพิ่มความครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้ให้กู้อื่น ๆ ด้วย ได้แก่
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
การเคหะแห่งชาติ ธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด (พิโกไฟแนนซ์) และสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ
ที่นอกเหนือจากสหกรณ์ออมทรัพย์ซึ่งได้รวมอยู่ในสถิติเดิมแล้ว
สถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนที่ปรับปรุงแล้วมีข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ไตรมาส
1/2555 เป็นต้นไป โดย
การปรับปรุงครั้งนี้
ทำให้ยอดคงค้างของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน ณ ไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 16.0
ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วนร้อยละ 90.6 ต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากก่อนการปรับปรุง 7.7 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 4.3 ของ GDP
อย่างไรก็ตาม
โครงสร้างสัดส่วนเงินให้กู้ยืมที่จำแนกตามวัตถุประสงค์ยังคงใกล้เคียงกับโครงสร้างเดิมก่อน
การปรับปรุง
โดยเป็นการกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก
รองลงมาคือการกู้ยืมเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป และการกู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพ
การปรับปรุงความครอบคลุมของสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน*
หนี้ครัวเรือนเป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญตัวหนึ่งที่หน่วยงานภาครัฐทุกประเทศ รวมถึงไทย โดย ธปท. ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นเครื่องชี้ที่สะท้อนถึงความมีเสถียรภาพหรือความเปราะบางทางเศรษฐกิจของครัวเรือน ซึ่งสามารถส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศได้ นอกจากนี้ยังสามารถสะท้อนโครงสร้างของตลาดสินเชื่อภาคครัวเรือน
ประเทศไทยมีระบบการเงินที่พึ่งพิงธนาคารเป็นหลักหรือที่เรียกว่า
Bank-based
economy ดังนั้นผู้ให้กู้หลักแก่ภาคครัวเรือนจึงเป็นธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ
จากรูปที่ 1 เห็นได้ว่าธนาคารเป็นผู้ให้กู้
ที่ครองสัดส่วนตลาดมากกว่าร้อยละ 70
ของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนทั้งหมดมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี ในช่วง 10
ปี
ที่ผ่านมา บทบาทของธนาคารมีแนวโน้มค่อย ๆ ลดลง
และถูกแทนที่ด้วยเงินให้กู้ยืมจากสหกรณ์ออมทรัพย์และ
สถาบันการเงินอื่น
โดยเฉพาะธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ลีสซิ่ง
และบริษัทบัตรเครดิต ค่อย ๆ เพิ่มบทบาทมากขึ้น
สังเกตได้จากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 1 แผนภูมิยอดคงค้างเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามผู้ให้กู้และเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ
GDP
ก่อนการปรับปรุงความครอบคลุม
|
การศึกษาเชิงประจักษ์หลายชิ้นบ่งชี้ว่า
การขยายตัวของระดับหนี้ครัวเรือนเป็นการเพิ่มความเสี่ยง
การเกิดวิกฤตการเงินและสามารถนำไปสู่การชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในบทความเรื่องหนี้ครัวเรือนและเสถียรภาพทางการเงินของ IMF
ปี 2017 ระบุว่า อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่เพิ่มขึ้นมีทั้งผลดีและผลเสีย
อย่างไรก็ตาม
ผลดีจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น
แต่กลับส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินในระยะกลางและระยะยาว
โดยในระยะสั้น หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับการบริโภคและการจ้างงานที่สูงขึ้น
ซึ่งส่งผลให้เกิดการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจ แต่ผลดีเหล่านี้จะกลับสู่สภาพเดิมภายใน
3 - 5 ปี
การขยายตัวมากขึ้นของหนี้ครัวเรือนในระยะกลางและระยะยาวนั้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตในระบบการเงิน
เนื่องจากอาจส่งผลให้ภาคครัวเรือนไม่สามารถ
ชำระหนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นหากเกิดการผิดนัดชำระหนี้ในวงกว้างอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจได้ในที่สุด
ผลเสียเหล่านี้
จะยิ่งมากขึ้นเมื่อระดับหนี้ครัวเรือนยิ่งสูงและเห็นชัดเจนในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว
(Advanced market economies) มากกว่าเขตเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่
(Emerging market economies)
ที่ส่วนใหญ่มีระดับหนี้ครัวเรือนและ
การมีส่วนร่วมในตลาดสินเชื่อต่ำกว่าตามรูปที่
2
% |
รูปที่ 2 หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ณ ไตรมาส 4/2565 ของเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ |
ที่มา: BIS (ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ) / จัดทำแผนภูมิ: ธปท. |
ธปท.
รวมทั้งหน่วยงานผู้ให้กู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลหนี้ครัวเรือนเช่นเดียวกับ
งานศึกษาตามที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับการให้กู้ยืมของผู้ให้กู้กลุ่มอื่น ๆ
ที่นอกเหนือจากสถาบันการเงินมีบทบาทและขนาดที่มีนัยสำคัญ
รวมถึงหน่วยงานผู้ให้กู้อื่น ๆ มีความพร้อมของข้อมูลมากขึ้น ธปท.
จึงได้ทบทวนและปรับปรุงข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
ให้ครอบคลุมมากกว่าเงินกู้ยืมจากกลุ่มผู้ให้กู้ที่จัดเก็บอยู่เดิม
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่
สะท้อนภาพภาระทางการเงินของภาคครัวเรือนให้ครบถ้วนใกล้เคียงจริงมากที่สุด
เพื่อใช้ในการดำเนินนโยบาย
ทางเศรษฐกิจ
และนโยบายการแก้ปัญหาหนี้ให้แก่ครัวเรือนที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน (Loans to Household) สถิติทางการที่ ธปท. เผยแพร่ มักถูกนำไปใช้อ้างอิงเป็นข้อมูลหนี้ครัวเรือน (Household debts) จนผู้ใช้บางส่วนเข้าใจว่า ข้อมูลทั้ง 2 ชุด คือข้อมูลเดียวกัน อย่างไรก็ดี ตามมาตรฐานสากลสถิติทั้ง 2 ชุด มีนิยามและองค์ประกอบความครอบคลุมแตกต่างกัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
ยังมิได้มีนิยามหรือองค์ประกอบที่เป็นสากล ในแต่ละประเทศจึงมีรายละเอียด
ความครอบคลุมที่ต่างกันทั้งในมิติของผู้ให้กู้และวัตถุประสงค์การกู้ยืม
เนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งข้อมูล
หน่วยงานผู้จัดทำข้อมูลจึงใช้ความพยายามอย่างที่สุด (best
effort) ในการรวบรวมจากแหล่งข้อมูลเท่าที่จะทำได้ โดยมิติผู้ให้กู้
ข้อมูลของบางประเทศครอบคลุมแค่สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์เนื่องจากกำกับดูแล
โดยธนาคารกลางซึ่งเป็นผู้จัดทำสถิติ
บางประเทศขอความร่วมมือจากภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น สถาบันการเงินอื่น หน่วยงานราชการ
หรือภาคธุรกิจร่วมด้วย ทำให้มีความครอบคลุมในมิติของผู้ให้กู้กว้างมากขึ้น
สำหรับมิติ
ด้านวัตถุประสงค์
ข้อมูลของบางประเทศครอบคลุมเฉพาะการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล
และบางประเทศครอบคลุมถึงการนำไปประกอบอาชีพด้วย
ความครอบคลุมของข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ครัวเรือนของไทย
และตัวอย่างคำศัพท์
และนิยามของประเทศต่าง ๆ แสดงดังตารางที่
1
ตารางที่ 1 ตัวอย่างคำศัพท์ที่ใช้เรียกเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนของประเทศต่าง ๆ
ประเทศ/ |
คำศัพท์ที่ใช้เรียก |
ความหมาย |
ไทย |
Loans to Households |
เงินให้กู้ยืมทุกประเภทที่ให้แก่บุคคลธรรมดาที่อยู่อาศัยในประเทศ (resident) ทั้งเงินเบิกเกินบัญชี เงินให้กู้ยืมทั่วไป ตั๋วเงินที่เปลี่ยนมือไม่ได้ และเงินลงทุนในลูกหนี้ รวมทุกสกุลเงินในทุกวัตถุประสงค์ โดยรวมเฉพาะส่วนที่เป็นเงินต้น (ไม่รวมดอกเบี้ยคงค้าง) |
ญี่ปุ่น |
Loans to Households |
เงินให้กู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัยและเพื่ออุปโภคบริโภค |
สหภาพยุโรป |
Loans granted to households |
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนและองค์กรไม่แสวงหากำไร |
มาเลเซีย |
Loans to Household sector |
เงินให้กู้ยืมแก่บุคคลธรรมดาของธนาคาร
(ไม่รวม non-bank) |
ฝรั่งเศส |
Loans to individuals |
เงินให้กู้ยืมแก่บุคคลธรรมดาจากสถาบันการเงินในประเทศ |
อังกฤษ |
Lending to Individuals (excluding student loans) |
เงินให้กู้ยืมแก่บุคคลธรรมดาจากสถาบันการเงิน
โดยไม่รวมเงินกู้ยืม |
แคนาดา |
Credit liabilities of households |
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
(รวมกิจการที่ไม่จดทะเบียนเป็น |
เกาหลีใต้ |
Credit to households |
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจากสถาบันการเงินที่รับฝากเงิน สถาบันการเงินที่ไม่รับฝากเงิน และสินเชื่อการค้า |
สิงคโปร์ |
Consumer loans |
เงินให้กู้ยืมและเงินทดรองจากธนาคารแก่บุคคลธรรมดา
โดยไม่รวม |
สหรัฐอเมริกา |
Consumer Credit |
เงินให้กู้ยืมแก่บุคคลธรรมดาเพื่ออุปโภคบริโภคในครัวเรือน
โดย |
ขณะที่
หนี้ครัวเรือน (Household
debt)
ตามนิยามขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น BIS (ธนาคาร
เพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ) IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) หรือ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) หมายถึง หนี้สินรวมทั้งหมด
ซึ่งประกอบด้วยเครื่องมือทางการเงินทุกประเภท ได้แก่ ตราสารหนี้ (debt
securities) เงินกู้ยืม (loans) รวมถึงหนี้สินอื่น ๆ ของภาคครัวเรือน ที่มีต่อทุกภาคเศรษฐกิจ
ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
โดยเงินกู้ยืมเป็นหนี้สินที่รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยคงค้าง
ส่วนตราสารหนี้
เป็นหนี้สินตามมูลค่าตลาด
หนี้ครัวเรือนที่มีความครอบคลุมครบถ้วนตามนิยามสากลข้างต้น
จำเป็นต้องใช้ข้อมูลในระบบบัญชีประชาชาติ หรือ System
of National Accounts จากส่วนที่เป็นงบแสดงฐานะการเงินแบบจำแนกภาคเศรษฐกิจของคู่สัญญาของภาคครัวเรือน
หรือ Household and NPISHs Sectoral Balance Sheet อย่างไรก็ตาม
ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลงบแสดงฐานะการเงินดังกล่าวที่สมบูรณ์ ดังนั้น
ถึงแม้ว่าความครอบคลุมของข้อมูลชุด
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจะแคบกว่า
แต่ก็เป็นข้อมูลที่มีขอบเขตใกล้เคียงมากที่สุดที่สามารถนำมาใช้ทดแทนได้
ประเทศไทยจึงใช้ข้อมูลสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนและสถิติหนี้ครัวเรือนเป็นข้อมูลชุดเดียวกัน
ซึ่ง
การเปรียบเทียบความครอบคลุมของหนี้ครัวเรือน ตามนิยามสากล
และเงินให้กู้ยืมแก่ครัวเรือนของไทย
แสดงดังตารางที่
2
ตารางที่
2
เปรียบเทียบความครอบคลุมของหนี้ครัวเรือน (ตามนิยามสากล)
และเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
ของไทย
(ก่อนการปรับปรุง)
หนี้ครัวเรือน (นิยามสากล) |
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
หรือ หนี้ครัวเรือนของไทย | |||
1. ผู้กู้ |
|
| ||
|
ครัวเรือน |
P |
P | |
|
องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ให้บริการครัวเรือน (NPISHs*) |
P |
Î | |
2. ผู้ให้กู้ |
|
| ||
|
สถาบันการเงิน |
P |
P | |
|
ภาครัฐบาล |
P |
Î | |
|
ภาคธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน |
P |
Î | |
|
เจ้าหนี้ต่างประเทศ |
P |
Î | |
3. เครื่องมือทางการเงิน |
|
| ||
|
เงินกู้ยืม |
P |
P | |
|
ตราสารหนี้ |
P |
Î | |
|
หนี้สินอื่น ๆ เช่น หนี้สินทางการค้า |
P |
Î | |
4. การวัดมูลค่า |
|
| ||
|
เงินกู้ยืม |
|
| |
|
|
เงินต้น |
P |
P |
|
|
ดอกเบี้ยค้างรับ |
P |
Î |
|
ตราสารหนี้ |
|
| |
|
|
มูลค่าตลาด |
P |
- |
*ตัวอย่างขององค์กรไม่แสวงหากำไรที่ให้บริการครัวเรือน หรือ NPISHs ได้แก่ วัด โบสถ์ องค์กรทางศาสนา มูลนิธิเพื่อการกุศล สโมสรกีฬา สหภาพแรงงาน และพรรคการเมือง
ทั้งนี้
แต่ละประเทศมักนำสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนหรือหนี้ครัวเรือนมาจัดทำเป็นอัตราส่วนหนี้สินของภาคครัวเรือนต่อ
GDP ของประเทศ
เพื่อประเมินระดับหนี้ของภาคครัวเรือนมีมาก-น้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งจากฐานข้อมูลของ BIS ประเทศต่าง ๆ
มีอัตราส่วนของหนี้ครัวเรือนต่อ GDP
ตามตารางที่
3
ตารางที่ 3 ตัวอย่างอัตราส่วนหนี้สินของภาคครัวเรือนต่อ GDP ของประเทศต่าง ๆ ณ ไตรมาส 4/2565 จากฐานข้อมูลของ BIS
ประเทศ/กลุ่มประเทศ |
หนี้สินของภาคครัวเรือนต่อ GDP* |
ไทย** |
87.7 |
ญี่ปุ่น |
68.2 |
สหภาพยุโรป |
57.4 |
มาเลเซีย |
66.8 |
ฝรั่งเศส |
66.2 |
สหราชอาณาจักร |
83.5 |
แคนาดา |
102.4 |
เกาหลีใต้ |
105.0 |
สิงคโปร์ |
48.6 |
สหรัฐอเมริกา |
74.4 |
จีน |
61.3 |
*Total credit to households
(core debt) to GDP (BIS) ซึ่งผู้กู้รวมองค์กรไม่แสวงหากำไร
** ก่อนการปรับปรุง
สถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนของ
ธปท. ก่อนการปรับปรุง ประกอบด้วย
สถิติเงินให้กู้ยืมแก่
ภาคครัวเรือนที่จำแนกตามสถาบันผู้ให้กู้และตามวัตถุประสงค์การกู้
โดยมิติของผู้ให้กู้ ธปท.
ได้จัดเก็บและขยายความครอบคลุมข้อมูลการให้กู้ยืมของผู้ให้กู้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสถิติชุดล่าสุดก่อนการปรับปรุงมีองค์ประกอบของผู้ให้กู้ ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์
สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่รับฝากเงิน บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
และสหกรณ์ออมทรัพย์ นอกจากนี้ ธปท.
ยังได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานกำกับดูแลอื่นและจากสถาบันการเงินโดยตรง
เช่น ธุรกิจสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank)
บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต
บริษัทหลักทรัพย์
ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โรงรับจำนำ เป็นต้น ดังรายละเอียดตามตารางที่ 4 สถิติชุดนี้เริ่มเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2556 โดยมีข้อมูลย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี
2546
ส่วนมิติวัตถุประสงค์การกู้ยืม
ธปท. เห็นว่า
ข้อมูลที่จำแนกวัตถุประสงค์จะช่วยให้ผู้ใช้ข้อมูลทราบถึง
การนำเงินกู้ยืมไปใช้ในวัตถุประสงค์ต่าง
ๆ
รวมทั้งช่วยในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของสินเชื่อ
แต่ละประเภทได้ดียิ่งขึ้น
จึงได้จัดทำและเผยแพร่สถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์
เมื่อต้นปี
2563
โดยมีข้อมูลย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี
2555 โดยวัตถุประสงค์ที่จำแนกได้มีดังต่อไปนี้
Ø เพื่ออุปโภคบริโภค
· เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์
· ซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์
· เพื่อการศึกษา
· อุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น
§ บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของ ธปท.
§ สินเชื่อส่วนบุคคลอื่น ๆ (ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท.)
Ø เพื่อประกอบอาชีพ
Ø อื่น ๆ
สำหรับการปรับปรุงสถิติในครั้งนี้เป็นการขยายความครอบคลุมของผู้ให้กู้เพิ่มเติมจากเดิมที่มีเฉพาะ
สถาบันการเงิน
โดยมีปัจจัยหรือเกณฑ์ในการเลือกแหล่งข้อมูล ได้แก่ ความคุ้มค่า
(cost
and benefit)
ความมีสาระสำคัญของข้อมูล (materiality)
คุณภาพของข้อมูล ความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล
ความสม่ำเสมอ
ของการเผยแพร่จากแหล่งข้อมูล ภาระของผู้รายงาน
ความต่อเนื่องเพียงพอของข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์
อนุกรมเวลา (time
series) รวมถึงการทำประมาณการเพิ่มเติมจากข้อมูลที่ได้รับที่จะต้องสามารถทำได้โดยใช้
หลักสถิติที่สมเหตุสมผล
จากการพิจารณาปัจจัยตามที่กล่าวถึงข้างต้น ธปท. ได้เลือกข้อมูลจาก 4 แหล่งเพื่อนำมาปรับปรุงสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
ซึ่งรวมทั้งผู้ให้กู้ที่อยู่ในภาครัฐและภาคเอกชนด้วย
ได้แก่
Ø การเคหะแห่งชาติ
Ø กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
Ø ธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด หรือ พิโกไฟแนนซ์
Ø
สหกรณ์ประเภทอื่น
ๆ นอกเหนือจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ได้แก่ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
สหกรณ์การเกษตร
สหกรณ์ประมง สหกรณ์ร้านค้า สหกรณ์นิคม และสหกรณ์บริการ
กลุ่มผู้ให้กู้เหล่านี้ได้เข้ามามีบทบาทในตลาดสินเชื่อภาคครัวเรือนมากขึ้นเรื่อย
ๆ โดยในช่วง 10
ปีที่ผ่านมา มีการให้เงินกู้ยืมแก่ครัวเรือนเพิ่มขึ้นถึงเกือบร้อยละ
50 กล่าวคือเพิ่มขึ้นจากราว 5 แสนล้านบาท ณ ไตรมาส 1
ปี 2555 มาเป็น 7.7 แสนล้านบาท ณ ไตรมาส 1 ปี 2566
ความครอบคลุมของกลุ่มผู้ให้กู้สำหรับสถิติชุดที่ปรับปรุงแล้ว
สามารถจำแนกเป็นสถาบันรับฝากเงิน สถาบันการเงินอื่น และภาคเศรษฐกิจอื่น
ดังรายละเอียดตามตารางที่ 4
โดยมีข้อมูลย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1
ปี 2555 ในขณะที่ข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์ภายหลังการปรับปรุงไม่มี
การเปลี่ยนแปลงรายการวัตถุประสงค์จากเดิม
อย่างไรก็ตาม
การขยายความครอบคลุมของผู้ให้กู้ทำให้จำเป็นต้องสร้างชุดข้อมูลใหม่อีกหนึ่งชุด
โดยมีข้อมูลย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2555
เช่นกัน
เพื่อให้แนวโน้มของข้อมูล
มีความต่อเนื่องและมีข้อมูลในช่วงระยะเวลาที่ยาวเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์และการพยากรณ์ได้
ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบความครอบคลุมในมิติของผู้ให้กู้ในชุดข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
ความครอบคลุมก่อนปรับปรุง |
ความครอบคลุมหลังปรับปรุง |
Ø สถาบันการเงินที่รับฝากเงิน |
Ø สถาบันการเงินที่รับฝากเงิน |
· ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ |
· ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ |
· สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รับฝากเงิน |
· สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รับฝากเงิน |
· สหกรณ์ออมทรัพย์ |
· สหกรณ์ออมทรัพย์ |
· สถาบันรับฝากเงินอื่นๆ
|
· สถาบันรับฝากเงินอื่นๆ (รวมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน) |
Ø สถาบันการเงินอื่น |
Ø สถาบันการเงินอื่น |
· บริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล |
· บริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล |
· บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต |
· บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต |
· บริษัทหลักทรัพย์ |
· บริษัทหลักทรัพย์ |
· ธุรกิจบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน |
· ธุรกิจบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน |
· โรงรับจำนำ |
· โรงรับจำนำ |
· สถาบันการเงินอื่นๆ
|
· สถาบันการเงินอื่นๆ (รวมธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด หรือ พิโกไฟแนนซ์) |
|
Ø
ภาคเศรษฐกิจอื่น |
เมื่อปรับปรุงความครอบคลุมของสถาบันผู้ให้กู้แล้ว
ยอดคงค้างรวมของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน ณ
ไตรมาส 1 ปี 2566 เพิ่มขึ้น 7.7
แสนล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ GDP เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 86.3 เป็นร้อยละ 90.6
รูปที่ 3
แผนภูมิเปรียบเทียบยอดคงค้างเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
และหนี้ครัวเรือนต่อ GDP |
รูปที่ 4
แผนภูมิเปรียบเทียบสัดส่วนเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกวัตถุประสงค์ ณ
ไตรมาส 1/2566
|
สถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน
เป็นข้อมูลที่หลายภาคส่วนให้ความสนใจติดตามอยู่เสมอ
เนื่องจากเป็นเครื่องชี้ที่ช่วยสะท้อนถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของภาคครัวเรือนในประเทศ
ที่ผ่านมา ธปท. จึงมีการปรับปรุงขยายความครอบคลุมสถิติดังกล่าวอยู่เป็นระยะ ๆ
สำหรับการปรับปรุงในครั้งนี้
เพื่อให้สถิติดังกล่าวสะท้อนระดับหนี้ของภาคครัวเรือนที่ใกล้เคียงจริงมากที่สุด
ธปท.
และหน่วยงานผู้ให้กู้มีความพยายามในการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลจากทุกแหล่งที่สามารถเข้าถึงได้
ซึ่งได้เพิ่มความครอบคลุมเงินให้กู้ยืมของกลุ่มผู้ให้กู้อื่น ๆ ได้แก่ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
การเคหะแห่งชาติ ธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ และสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ เข้ามาด้วย
เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลที่มีบทบาทการให้กู้ยืมแก่ครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งมีความพร้อมทั้งด้านคุณภาพของข้อมูล
และ
การให้ข้อมูลที่เพียงพอเพื่อให้สามารถใช้งานและเผยแพร่ได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี สถิติเงินให้กู้ยืมแก่
ภาคครัวเรือนของไทยมีนิยามและขอบเขตใกล้เคียงกับข้อมูลของต่างประเทศแต่ยังไม่ครอบคลุมในมิติต่าง
ๆ
เท่ากับหนี้สินของภาคครัวเรือนตามนิยามสากลขององค์กรระหว่างประเทศ
ข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ GDP หลังการปรับปรุงมีการปรับเพิ่มขึ้นจากข้อมูลก่อนปรับปรุงเฉลี่ยร้อยละ 4.5 ตลอดทั้งชุดข้อมูล โดยในข้อมูลที่จำแนกตามผู้ให้กู้มีการเพิ่มผู้ให้กู้ภาคอื่น ๆ เข้ามาด้วยนอกเหนือจากภาคสถาบันการเงิน ส่วนข้อมูลที่จำแนกตามวัตถุประสงค์การกู้ยืมมีความใกล้เคียงกับสัดส่วนเดิม มีเพียงสัดส่วนของเงินกู้เพื่อการศึกษาที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 4 ของเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนทั้งหมด
ทั้งนี้
ธปท.
กำหนดการเผยแพร่ข้อมูลสถิติชุดใหม่ที่จำแนกตามกลุ่มสถาบันผู้ให้กู้และวัตถุประสงค์การกู้
เป็นรายไตรมาส
ล่าช้า 1
ไตรมาส เริ่มตั้งแต่ข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2566
โดยมีข้อมูลย้อนหลังถึงงวดไตรมาส 1
ปี 2555 ในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป และสำหรับสถิติชุดปัจจุบันจะเผยแพร่จนถึงข้อมูลงวดไตรมาส
4
ปี 2566
ตารางที่
1
การเปรียบเทียบข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามผู้ให้กู้ชุดเดิมกับข้อมูลปัจจุบัน
หลังการปรับปรุงความครอบคลุมสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2566
(หน่วย: ล้านบาท) |
|
| |
|
ก่อนปรับปรุง |
หลังปรับปรุง | |
|
|
Q1/2566 |
Q1/2566 |
1 |
สถาบันรับฝากเงิน |
12,834,383 |
12,890,446 |
2 |
ธนาคารพาณิชย์ |
6,327,510 |
6,327,510 |
3 |
สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่รับฝากเงิน |
4,262,938 |
4,262,938 |
4 |
สหกรณ์ออมทรัพย์ |
2,241,722 |
2,241,722 |
5 |
สถาบันรับฝากเงินอื่นๆ |
2,213 |
58,276 |
6 |
สถาบันการเงินอื่น |
2,359,634 |
2,366,114 |
7 |
บริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคล |
1,848,409 |
1,848,409 |
8 |
บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต |
179,401 |
179,401 |
9 |
บริษัทหลักทรัพย์ |
116,460 |
116,460 |
10 |
ธุรกิจบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน |
87,955 |
87,955 |
11 |
โรงรับจำนำ |
82,264 |
82,264 |
12 |
สถาบันการเงินอื่นๆ |
45,145 |
51,625 |
13 |
อื่น ๆ |
- |
703,741 |
14 |
รวม |
15,194,016 |
15,960,301 |
15 |
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ GDP (%) |
86.3 |
90.6 |
16 |
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ GDP ปรับฤดูกาล (%) |
86.2 |
90.6 |
ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์การกู้ยืมชุดเดิมกับข้อมูลปัจจุบันหลังการปรับปรุงความครอบคลุมสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2566
(หน่วย: ล้านบาท) |
|
| |
|
ก่อนปรับปรุง |
หลังปรับปรุง | |
|
Q1/2566 |
Q1/2566 | |
1 |
เพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล |
11,615,763 |
12,140,717 |
2 |
เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ |
5,341,316 |
5,352,505 |
3 |
ซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ |
1,809,336 |
1,809,336 |
4 |
เพื่อการศึกษา |
211,858 |
696,449 |
5 |
อุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น |
4,253,253 |
4,282,427 |
6 |
of which บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้ |
1,233,927 |
1,233,927 |
7 |
เพื่อประกอบอาชีพ |
2,714,557 |
2,897,568 |
8 |
อื่นๆ |
863,697 |
922,015 |
9 |
รวม |
15,194,016 |
15,960,301 |
10 |
เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อ GDP (%) |
86.3 |
90.6 |
Bank for International Settlements. (2 มิถุนายน 2566). Total credit to households (core debt): BIS. เรียกใช้เมื่อ 20 มิถุนายน 2566 จาก เว็บไซต์ Bank for International Settlements: https://stats.bis.org/statx/srs/table/f3.1
Bank for International Settlements. (ม.ป.ป.). About credit statistics: BIS. เรียกใช้เมื่อ 20 เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์ Bank for International Settlements: https://www.bis.org/statistics/about_credit_stats.htm?m=2673
Bank Negara Malaysia. (ม.ป.ป.). Publications - Monthly Highlights & Statistics in April 2022. เรียกใช้เมื่อ 14 มิถุนายน 2565 จาก เว็บไซต์ Bank Negara Malaysia: https://www.bnm.gov.my/-/monthly-highlights-statistics-in-april-2022
Bank of England. (14 กุมภาพันธ์ 2562). Further details about total lending to individuals data. เรียกใช้เมื่อ 14 มิถุนายน 2565 จาก เว็บไซต์ Bank of England: https://www.bankofengland.co.uk/statistics/details/further-details-about-total-lending-to-individuals-data
Bank of Japan. (ม.ป.ป.). [Notes on Statistics] Monetary Aggregates (Market volume, outstanding) / Outstanding of Deposits and Loans. เรียกใช้เมื่อ 28 เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์ Bank of Japan: https://www.boj.or.jp/en/statistics/outline/note/notest33.htm/#08
Bank of Korea. (28 พฤษภาคม 2565). Economic Statisitics System - Search Stat. เรียกใช้เมื่อ 14 มิถุนายน 2565 จาก เว็บไซต์ Economic Statisitics System: https://ecos.bok.or.kr/#/SearchStat
Banque de France. (1 เมษายน 2565). Loans to individuals, France 2022Feb. เรียกใช้เมื่อ 20 เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์ Banque de France: https://www.banque-france.fr/en/statistics/loans-individuals-france-2022feb
Board of Governors of the Federal Reserve System. (5 มิถุนายน 2563). The Fed - Consumer Credit - G.19 - About. เรียกใช้เมื่อ 13 มิถุนายน 2565 จาก เว็บไซต์ Federal Reserve Board: https://www.federalreserve.gov/releases/g19/about.htm
European Central Bank. (18 สิงหาคม 2563). European Central Bank - Statistical Data Warehouse - Quick View. เรียกใช้เมื่อ 18 เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์ European Central Bank: https://sdw.ecb.europa.eu/quickview.do?SERIES_KEY=332.QSA.Q.N.I8.W0.S1M.S1.N.L.LE.F4.T._Z.XDC_R_B1GQ_CY._T.S.V.N._T
Monetary and Financial Dept. International Monetary Fund. . (ตุลาคม 2560). Global Financial Stability Report, October 2017 Is Growth at Risk? Washington, D.C.: International Monetary Fund.
Monetary Authority of Singapore. (26 กุมภาพันธ์ 2563). MAS Monthly Statistical Bulletin - I.5A Commercial Banks: Loans and Advances to Residents by Industry. เรียกใช้เมื่อ 13 มิถุนายน 2565 จาก เว็บไซต์ Monetary Authority of Singapore: https://eservices.mas.gov.sg/statistics/msb-xml/Report.aspx?tableSetID=I&tableID=I.5A
OECD. (ม.ป.ป.). Household accounts - Household debt - OECD Data. เรียกใช้เมื่อ 18 เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์ OECD: https://data.oecd.org/hha/household-debt.htm
Statistics Canada. (18 ธันวาคม 2563). Guide to the Monthly Credit Aggregates. เรียกใช้เมื่อ 14 มิถุนายน 2565 จาก เว็บไซต์ Statistics Canada: https://www150.statcan.gc.ca/n1/en/pub/13-605-x/2020001/article/00004-eng.pdf?st=C41h4j3e
Statistics Canada. (13 มิถุนายน 2565). Credit liabilities of households. doi:https://doi.org/10.25318/3610063901-eng
ธนาคารแห่งประเทศไทย.ทีมสถิติการเงินการคลัง 1-2. (ม.ป.ป.). คำอธิบายข้อมูล: EC_MB_039 เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน. เรียกใช้เมื่อ 18 เมษายน 2565 จาก เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย: https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/DownloadFile.aspx?file=EC_MB_039_TH.PDF
รชต ตั้งนรารัชชกิจ. (18 มกราคม 2565). หนี้ครัวเรือน: ปัญหาที่ทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันแก้. เข้าถึงได้จาก เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย: https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_18Jan2022-2.aspx
|
* ผู้เขียนขอขอบคุณ คุณสุวัชชัย ใจข้อ คุณคุณทิพย์ ตรงธรรมกิจ คุณวิชชวรรณ วรฉัตราวณิช และคุณชญากัญจน์ ประเสริฐบัญชาชัย สำหรับความร่วมมือ การสนับสนุน และคำแนะนำที่มีค่าตลอดระยะเวลาการศึกษาปรับปรุงในครั้งนี้
ธปท. มีการใช้คุกกี้ที่จำเป็นต่อการใช้งานหรือให้บริการเว็บไซต์ รวมทั้งมีการใช้คุกกี้อื่น (อาทิ คุกกี้เพื่อการใช้งานเว็บไซต์ คุกกี้เพื่อวิเคราะห์การประเมินผลใช้งานและการโฆษณา) เพื่อช่วยปรับปรุงหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานหรือการให้บริการเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น โดยหากท่านคลิก “ยอมรับการใช้งานคุกกี้ทุกประเภท” ถือว่าท่านยอมรับการใช้งานคุกกี้อื่นนอกจากคุกกี้ที่จำเป็นด้วย ซึ่งท่านสามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้เพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ของ ธปท.
คุกกี้ที่จำเป็น | คุกกี้อื่น | ทางเลือก |
ยอมรับ | ยอมรับ | |
ยอมรับ | ปฏิเสธ |
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการใช้งานหรือการให้บริการพื้นฐานของเว็บไซต์ ธปท. เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
คุกกี้ประเภทนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของ ธปท. จดจำผู้ใช้งาน และตัวเลือกต่าง ๆ ที่ท่านได้ตั้งค่าไว้ รวมทั้งช่วยให้เว็บไซต์ส่งมอบคุณสมบัติและเนื้อหาเพิ่มเติมให้ตรงกับการใช้งานของท่านได้ นอกจากนี้ คุกกี้ดังกล่าวยังทำให้เห็นการปฏิสัมพันธ์ของท่านในการใช้บริการเว็บไซต์ของ ธปท. และใช้วิเคราะห์ข้อมูลการใช้งาน เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์ และการนำเสนอบริการบนเว็บไซต์