​เทคโนโลยีการบริหารจัดการฟาร์มสมัยใหม่ ก้าวต่อไปของภาคเกษตรไทยในยุค 4.0

 

 

 

หลายทศวรรษที่ผ่านมา ภาคเกษตรนับว่ามีความสำคัญและเป็นรากฐานของเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยในแต่ละภูมิภาคมีสัดส่วนของภาคเกษตรเฉลี่ยสูงกว่า 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมระดับภูมิภาค (Gross Regional Product: GRP)[1] นอกจากนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนไทยมีความผูกพันกับการเกษตร สะท้อนจากแรงงานส่วนใหญ่ในภูมิภาคกว่า 40% ยึดเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก[2] อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า รายได้ของภาคเกษตรขยายตัวได้เพียง 4.2% ซึ่งลดลงกว่าเท่าตัวจากทศวรรษก่อนหน้า ประกอบกับผลิตภาพทุนที่อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศและผลิตภาพแรงงานที่ลดลง สะท้อนว่าภาคเกษตรไทยเติบโตได้ค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยปัจจัยที่ฉุดรั้งมาจากทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ เทคโนโลยีการผลิตยังเป็นแบบดั้งเดิม พื้นที่ปลูกต่อรายมีขนาดเล็ก และพื้นที่ที่เข้าถึงชลประทานมีสัดส่วนน้อย และปัจจัยเชิงวัฏจักร อาทิ ราคาพืชผลตกต่ำและภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นต้น แล้วภาคเกษตรของไทยจะต้องเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้

 

ตอบโจทย์ความท้าทายของภาคเกษตรไทยด้วยเทคโนโลยี

 

มองไปข้างหน้า ภาคเกษตรยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงสำคัญของโลก โดยเฉพาะในประเด็นสังคมสูงวัยที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังแรงงานในภาคเกษตร ความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ (climate change) ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (technology advancement) ซึ่งโควิด 19 จะเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เร็วและรุนแรงขึ้น และจะยิ่งซ้ำเติมความท้าทายที่มีอยู่เดิม ดังนั้น เกษตรกรไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเพื่อก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ เนื่องจากการทำการเกษตรรูปแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่อีกต่อไป ซึ่งความรู้ความเข้าใจที่เท่าทันและการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในภาคเกษตร จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกและเอื้อให้เกษตรกรไทยสามารถปรับตัวไปสู่ยุค 4.0 ได้

 

ศรษฐกิจติดดินฉบับนี้จึงขอยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคเกษตร ที่ได้จาก"โครงการนำร่องส่งเสริมการผลิตข้าวด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลผ่านการใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการฟาร์มสมัยใหม่ (Social lab)" ซึ่งเกิดขึ้นจากภายใต้ความร่วมมือกันของ 5 หน่วยงานภาคี ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ กรมการข้าว ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) บริษัท คิว บ็อกซ์ พอยท์ จำกัด บริษัท สฤก จำกัด และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีระยะเวลาโครงการ 1 ปี (มกราคม - ธันวาคม 2564) ในพื้นที่นำร่อง (sandbox) 4 จังหวัด คือ ชัยนาท ขอนแก่น พิจิตร และร้อยเอ็ด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทย อันจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจการเงินในภาพรวมมีความแข็งแกร่งและสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

เทคโนโลยีการจัดการฟาร์มสมัยใหม่ในโครงการนำร่อง "Social Lab"

 

 ที่ผ่านมา เกษตรกรไทยเผชิญกับข้อจำกัดในการเพาะปลูกข้าวหลายประการ โดยเฉพาะการปลูกข้าวโดยใช้วิธีดั้งเดิมตามที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งอาจทำให้ได้ผลผลิตน้อยและมีต้นทุนสูง นอกจากนี้ เกษตรกรไทยยังไม่คุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยี แม้ว่าหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้พยายามวางรากฐานและส่งเสริมให้นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตในภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาครัฐ ได้ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยวางโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลเป็นหลัก อาทิ การสร้างฐานข้อมูลรายแปลงเกษตรกร (Thailand Agriculture Mobile Information: TAMIS) การสร้างข้อมูลดาวเทียมเพื่อการเกษตร (GIS-Agro) และการจัดทำแผนที่เพื่อบริหารจัดการเกษตร (Agri-Map) ขณะที่ภาคเอกชนนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อตอบโจทย์ที่เฉพาะด้านมากขึ้น อาทิ การใช้ข้อมูลคาดการณ์สภาพอากาศล่วงหน้าเพื่อวางแผนการเพาะปลูก การใช้เซนเซอร์เพื่อติดตามและวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนการสำรวจระยะไกล เพื่อใช้วัดพื้นที่ที่เหมาะสมในการเพาะปลูก อย่างไรก็ตาม เกษตรกรที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่และกลุ่มที่ปลูกพืชมูลค่าสูงที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้น โครงการนำร่อง Social Lab จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยจุดประกายให้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขยายวงไปสู่กลุ่มชาวนาที่เป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศ

 

 โครงการนำร่อง Social Lab จะส่งเสริมให้เกษตรกรทำการปลูกข้าวตามหลักวิชาการ โดยนำเอาเทคโนโลยีการบริหารจัดการฟาร์มสมัยใหม่ที่สร้างขึ้นผ่านแอปพลิเคชันฟาร์มบุ๊ก (Farm Book) บนสมาร์ทโฟนมาประยุกต์ใช้ในการบันทึกข้อมูลแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตข้าว ซึ่งในฟาร์มบุ๊กจะประกอบด้วยแอปพลิเคชันฟาร์มทูเดย์ (Farm Today) สำหรับเกษตรกรใช้งาน และฟาร์มสกาย (Farm Sky) สำหรับหัวหน้ากลุ่มและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท คิว บ็อกซ์ พอยท์ จำกัด โดยมุ่งเน้นให้ (1) เกษตรกรได้วางแผนล่วงหน้าและบริหารเวลาทำงานของตนเองได้ รวมทั้ง (2) หัวหน้ากลุ่มและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่สามารถติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการเพาะปลูกได้อย่างสม่ำเสมอผ่านแอปพลิเคชันฟาร์มบุ๊ก เพื่อนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยเกษตรกรจะได้รับการสนับสนุนปัจจัยการผลิตและได้ทดลองใช้แอปพลิเคชัน ตลอดจนได้รับองค์ความรู้ในการเพาะปลูกข้าวที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ปรับปรุงกระบวนการผลิตในแต่ละขั้นตอนได้ ทั้งนี้ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนำร่อง Social Lab จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะให้เกษตรกรทำการปลูกข้าวแบบดั้งเดิม และส่วนที่สองจะเป็นการเพาะปลูกรูปแบบใหม่ตามหลักการวิชาการเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้จากการปลูกข้าวทั้งสองรูปแบบ

 

1

 

  หลักการทำงานของแอปพลิเคชันฟาร์มบุ๊กในโครงการนำร่อง Social Lab จะช่วยชาวนาในการลดต้นทุนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยในช่วงก่อนการเพาะปลูกระบบกำหนดให้ชาวนาต้องบันทึกข้อมูลพื้นฐานสำคัญในการทำนาลงในแอปพลิเคชัน เช่น ขนาดพื้นที่ ลักษณะการทำนาว่าเป็นนาน้ำฝนหรือนาในเขตชลประทาน วาดขอบแปลงนา ระบุที่ตั้งด้วย GPS และผลการตรวจสภาพดิน หลังจากนั้นระบบในแอปพลิเคชันฟาร์มบุ๊กจะช่วยคำนวณขนาดพื้นที่นาทั้งหมด รวมทั้งสูตรปุ๋ยที่เหมาะสมกับสภาพดินในแต่ละพื้นที่ หรือเรามักได้ยินในชื่อว่า "ปุ๋ยสั่งตัด" ที่ไม่ใช่สูตรตายตัวที่เกษตรกรส่วนใหญ่มักซื้อตามร้านหรือตามสูตรที่คนขายแนะนำ ซึ่งบางครั้งอาจไม่เหมาะกับสภาพดินทำให้เกษตรกรมีต้นทุนสูงขึ้น นอกจากนี้ การที่ข้อมูลถูกจัดเก็บรวบรวมอย่างเป็นระบบช่วยให้สามารถบริหารจัดการปัจจัยการผลิตในช่วงการเก็บเกี่ยวได้ด้วย เช่น ในกรณีชาวนารายย่อยสามารถรวมกลุ่มกันในการเช่ารถไถและรถเกี่ยวในคราวเดียวช่วยประหยัดต้นทุนในส่วนนี้ได้ นอกจากนี้ แอปพลิเคชันฟาร์มบุ๊กยังช่วยให้ชาวนาบริหารจัดการนาได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากแอปพลิเคชันจะช่วยบอกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการใส่ปุ๋ย ตรวจแมลง พ่นยา ควบคุมปริมาณน้ำในนา และการตัดข้าวปน[3] ตลอดระหว่างการเพาะปลูก ตั้งแต่การลงกล้า แตกกอ ออกดอก โน้มรวง จนถึงช่วงเก็บเกี่ยว ทั้งนี้ ขึ้นกับสภาพอากาศในแต่ละช่วงซึ่งมีผลต่อการบริหารจัดการฟาร์มในขั้นตอนดังกล่าวด้วย ซึ่งหากระหว่างทางผลผลิตเสียหาย เช่น ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งหรือน้ำท่วม เกษตรกรจะบันทึกความเสียหายที่ตนเองคาดการณ์ลงในระบบ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้ามาดูแลให้คำแนะนำได้ทันการ สำหรับช่วงหลังการเก็บเกี่ยวแอปพลิเคชันจะช่วยแจ้งเวลาที่เหมาะสมในการไถ กลบฟาง หมักดินให้ย่อยสลาย ตามแนวทางของเกษตรสีเขียว ซึ่งส่งผลดีต่อสภาพดินและระบบนิเวศในระยะยาว สร้างความยั่งยืนทั้งสุขภาพของเกษตรกรและชุมชน

 

ยิ่งไปกว่านั้น แอปพลิเคชันฟาร์มบุ๊กยังช่วยบริหารจัดการผลผลิตกับความต้องการของตลาด จากหัวหน้ากลุ่มเกษตรกรที่สามารถติดตามการทำงานของเกษตรกรภายในกลุ่มของตนเองได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้นผ่านแอปพลิเคชันนี้ และยังสามารถเปรียบเทียบต้นทุนในแต่ละพื้นที่ คาดการณ์ผลผลิตที่จะเกิดขึ้น เพื่อวางแผนการผลิตของสมาชิกทั้งกลุ่มให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าโครงการนำร่อง Social Lab ที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือหลัก ช่วยให้สามารถบริหารจัดการฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานเลยทีเดียว

 

 ทั้งนี้ ผลจากการลงพื้นที่ในจังหวัดนำร่อง ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อทดลองใช้แอปพลิเคชันฟาร์มบุ๊กสำหรับการเตรียมการเพาะปลูกรอบการผลิตรุ่นฝนที่กำลังจะมาถึง แม้ระยะนี้เป็นเพียงช่วงเริ่มของโครงการ แต่สิ่งที่พบคือ ชาวนาจำนวนไม่น้อยเริ่มมีความตื่นตัวและตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มชาวนาผู้สูงวัยที่มีความตั้งใจเรียนรู้การใช้งานของแอปพลิเคชัน โดยมีลูกหลานหรือชาวนาวัยหนุ่มสาวมาคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำรับไม้ต่อจากเจ้าหน้าที่กระจายสู่ชุมชน ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่ในครั้งนี้ทำให้เห็นว่ายังมีความท้าทายอีกหลายประการในภาคเกษตรที่ต้องอาศัยเวลาในการปรับตัว อาทิ ความคุ้นเคยในการใช้งานแอปพลิเคชันบนมือถือของเกษตรกรรุ่นเดิมที่ต้องอาศัยเวลาค่อนข้างมากในการเรียนรู้ และการช่วยประคับประคองให้เกษตรกรอยู่ร่วมตลอดโครงการเพื่อเห็นผลการทดลองเชิงประจักษ์ ซึ่งจะช่วยนำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมในการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมไปสู่การบริหารจัดการฟาร์มสมัยใหม่ได้ในระยะยาว รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีในแต่ละพื้นที่ที่ยังแตกต่างกันค่อนข้างมากเลยทีเดียว

 

 

3 ปัจจัย...สู่ก้าวต่อไปเพื่อภาคเกษตรไทยที่ยั่งยืน

 

แม้โครงการนำร่อง Social lab ยังจำกัดอยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัด แต่นับว่าเป็นตัวอย่างของจุดเริ่มต้นที่ดีในการให้เกษตรกรได้ทดลองใช้แอปพลิเคชัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการเชื่อมโยงข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทานและต่อยอดไปสู่เทคโนโลยีที่ซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม หากถอดบทเรียนจากการลงพื้นที่ในโครงการนำร่อง Social lab สามารถสรุปได้ว่า การผลักดันภาคเกษตรไทยให้ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับไปสู่ยุคเกษตร 4.0 ให้สำเร็จและยั่งยืนต้องอาศัยปัจจัย 3 ประการ คือ (1) การเปิดใจเรียนรู้และพร้อมปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการปรับตัว (2) การมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ ซึ่งนอกจากองค์ความรู้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการที่เกษตรกรต้องการแล้ว การพัฒนาจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความช่วยเหลือและการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การเข้าใจและแก้ไขปัญหา ตลอดจนการหาแนวทางการพัฒนาพื้นที่ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและแรงบันดาลใจในการพัฒนาต่อยอดการยกระดับภาคเกษตรด้วยตนเองต่อไป และ (3) ความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งการบูรณาการความพร้อมให้กับภาคเกษตรของทุกภาคส่วนจะเป็นแรงประสานที่ช่วยขับเคลื่อนและผลักดันให้การยกระดับภาคเกษตรไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพ

 

2

 

ท้ายที่สุด ปัจจัยข้างต้นทั้ง 3 ประการจะเป็นส่วนผสมสำคัญที่ช่วยให้การยกระดับภาคเกษตรไทยประสบความสำเร็จและก้าวสู่ยุค 4.0 ได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจการเงินไทยในภาพรวมเข้มแข็งและสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

[1] สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2563)

[2] สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2563)

[3] การตัดข้าวปน เป็นวิธีการกำจัดต้นข้าวที่เกิดจากเมล็ดพันธุ์ข้าวอื่น ๆ หรือพืชชนิดอื่นๆ ที่ปนมา เช่น อาจเกิดจากเมล็ดพันธุ์ที่ติดมากับเครื่องจักรที่ใช้เก็บเกี่ยวจากแปลงอื่น หรือจากการเปลี่ยนพันธุ์ข้าวที่ปลูก แล้วยังมีข้าวพันธุ์เดิมตกค้างในนา การตรวจตัดข้าวปนที่ดีจะช่วยให้ได้ผลผลิตเป็นข้าวพันธุ์ดีตามมาตรฐาน