ธปท. บนเวทีโลก ในสายตา เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความผันผวนและความเปลี่ยนแปลงของโลกนับเป็นประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในด้านเศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศ และ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลเศรษฐกิจของประเทศ เป็นผู้หนึ่งที่มีคนนำบทวิเคราะห์และความเห็นต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยและแนวนโยบายของ ธปท. ในภาพใหญ่ไปอ้างอิงเป็นการทั่วไป แต่ไม่บ่อยครั้งนักที่ผู้ว่าการจะพูดถึงแนวทางการดำเนินงานด้านต่างประเทศของ ธปท. ในรายละเอียด
พระสยาม BOT MAGAZINE ขอชวนอ่านบทสัมภาษณ์พิเศษว่าด้วยแนวทางการทำงานและยุทธศาสตร์ของ ธปท. บนเวทีโลก ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจบทบาทหน้าที่และวิถีการทำงานของ ธปท. ได้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องมีความเชื่อมโยงสอดประสานกับต่างประเทศ รับรองว่า หาอ่านที่ไหนไม่ได้ง่าย ๆ
การทำงานด้านต่างประเทศเป็นโจทย์ที่สำคัญมากสำหรับประเทศไทย เพราะเราเป็นประเทศที่ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กแบบเปิด (small and open economy) จึงมักได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากปัจจัยต่างประเทศ
เราทราบกันดีว่า เศรษฐกิจไทยพึ่งพิงภาคต่างประเทศในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ในขณะที่ ธปท. มีหน้าที่ในการดูแลเรื่องเสถียรภาพของเศรษฐกิจในภาพรวม ทั้งเสถียรภาพราคา เสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน เสถียรภาพของระบบชำระเงิน ไปจนถึงการดูแลค่าเงิน ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ลองนึกภาพจะเห็นว่า ประเด็นเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั้งหมด ดังนั้น งานด้านต่างประเทศจึงจำเป็นมากในการทำให้ ธปท. บรรลุพันธกิจเหล่านี้ได้
ปัจจัยพื้นฐานในการทำงานด้านต่างประเทศไม่ได้ต่างจากการทำงานในประเทศ นั่นคือ ความไว้วางใจ (trust) และความน่าเชื่อถือ (credibility) การมีสองสิ่งนี้ทำให้ ธปท. ยังสามารถทำหน้าที่ได้ ลองนึกภาพในทางกลับกันว่า หากเราไม่ได้รับความไว้วางใจ หรือไม่น่าเชื่อถือในสายตาประชาคมระหว่างประเทศ ผลจะเป็นอย่างไร ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ซึ่ง trust และ credibility ของเราในการดำเนินนโยบายถูกบั่นทอนลง เห็นได้จากเงินทุนที่ไหลออกและเงินบาทที่อ่อนค่า จนทำให้เราไม่สามารถบรรลุพันธกิจในการรักษาเสถียรภาพได้
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมพูดถึงบ่อยคือ ประเทศอังกฤษซึ่งตอนนั้นรัฐบาลประกาศนโยบายการคลังที่ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีแผนงบประมาณรองรับที่ชัดเจน ความเชื่อมั่นจึงหายไป ตลาดก็ตอบสนองอย่างรุนแรง ลองนึกภาพว่านั่นคือประเทศอังกฤษ เศรษฐกิจใหญ่กว่าไทยมาก ความน่าเชื่อถือที่ผ่านมาก็ค่อนข้างสูง และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วด้วย ยังโดนหนักขนาดนี้ ดังนั้น สำหรับธนาคารกลาง การสร้างและรักษาไว้ซึ่งความไว้วางใจและความมั่นใจเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เมื่อต้องออกไปทำงานด้านต่างประเทศ ธปท. ต้องทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ ลองนึกถึงการไปหาหมอที่เราไว้ใจ จะต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถทั้งในเชิงทฤษฎีและประสบการณ์ทำงานจริง ซึ่งสำหรับคนทำงานนโยบายก็เหมือนกัน คือเราต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ทำอย่างแท้จริง ตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เชื่อถือได้ ซึ่งเรื่องนี้รวมถึงการยอมรับว่าเราไม่ได้รู้ทุกเรื่องด้วย เรื่องไหนที่ไม่รู้ เราก็พร้อมเรียนรู้และปรับตัว
แต่แค่ความเป็นมืออาชีพยังไม่เพียงพอ ความไว้วางใจต้องเกิดจากธรรมาภิบาล (governance) ด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ หมอที่เราไปหาต้องไม่ใช่แค่เก่งอย่างเดียว แต่ต้องได้รับความเชื่อมั่นด้วยว่าเป็นหมอที่ดีมีจรรยาบรรณ ไม่จ่ายยาผิดพลาด หรือต้องการแสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว ธปท. ก็เช่นกัน คนของเราเก่งและมีหลักการอย่างเดียวไม่พอ แต่จำเป็นต้องมี governance และ integrity ควบคู่กันไปด้วย จึงทำให้คนไว้ใจเราได้
ผมมองว่าค่อนข้างมาก เพราะกลับมาที่หลักการของเราว่า การทำงานระหว่างประเทศของ ธปท. ไม่ใช่เรื่องของการเข้าไปในที่ประชุมแล้วกดไมค์พูดทุกเรื่อง หรือต้องพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษสวยหรู สิ่งที่สำคัญกว่า คือความเข้าใจในหัวข้อนั้นอย่างแท้จริง มีหลักการและสื่อสารออกมาได้ เราจึงเน้นการพูดแชร์ในเรื่องที่เรารู้จริง มีข้อมูลเชิงลึก ซึ่งจะมีสิ่งเหล่านี้ได้ต้องเกิดจากประสบการณ์จริง และเรามีตัวอย่างในเรื่องเหล่านี้อยู่พอสมควร
ผมกล้าพูดว่า ธปท. เป็นผู้นำทางความคิดในการผลักดันวาระสำคัญด้านนโยบายที่เหมาะกับบริบทของเรา ให้เป็นที่ยอมรับในเวทีสากลหลายเวที ซึ่งเราเป็นทั้งผู้นำทางความคิดและในทางปฏิบัติจริงด้วย เช่น กรอบความคิดเรื่องนโยบายการเงินแบบผสมผสานเครื่องมือ (Integrated Policy Framework: IPF) ซึ่งให้ความสำคัญกับการดูภาพรวม ไม่ได้แยกดูเฉพาะนโยบายอัตราดอกเบี้ย แต่คำนึงถึงการใช้เครื่องมืออื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วยตามความเหมาะสม ทั้งนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน นโยบายเงินทุนเคลื่อนย้าย และนโยบายดูแลความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน (macroprudential)
ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 เป็นตัวอย่างที่ดีของการนำ IPF ไปปฏิบัติจริง คือเรามีการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เหล่านี้อย่างสอดประสานกัน เพราะใช้เครื่องมือเดียวไม่เพียงพอ เช่น ถ้าเป็นห่วงเรื่องเงินเฟ้อแล้วใช้ดอกเบี้ยมาดูแล บางทีอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยน ฉะนั้นก็ต้องมีเครื่องมืออื่นที่มาดูแลอัตราแลกเปลี่ยนด้วย หรือการที่ ธปท. ประกาศขึ้นดอกเบี้ย อาจทำให้ลูกหนี้มีปัญหา ธปท. ก็ต้องมีมาตรการอื่นมารองรับผลกระทบจากนโยบายด้านดอกเบี้ยด้วย
แนวทางนี้ ไม่ใช่ ธปท. ทำเพียงแห่งเดียว แต่เรายังร่วมผลักดันกับหลายประเทศที่เป็นเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging markets) โดยเฉพาะในอาเซียน จนเป็นที่ยอมรับในสายตาขององค์กรระหว่างประเทศ จากเดิมที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศมักจะยึดหลักการของกลไกตลาด จึงไม่ค่อยยอมรับการเข้าไปแทรกแซงตลาด โดยเฉพาะการเข้าไปบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน แต่สิ่งที่เราพยายามอธิบายคือ เศรษฐกิจขนาดเล็กแบบเปิดนั้นได้รับผลกระทบจากการไหลเวียนของเงินทุน และความผันผวนของค่าเงินมาก ซึ่งเราไม่มีศักยภาพในการรับมือความผันผวนแบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ จึงต้องมีเครื่องมืออื่นมาเสริม จนในปัจจุบันกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ยอมรับ IPF แล้ว และ ธปท. มีส่วนสำคัญอย่างมากในการผลักดันเรื่องนี้
เราแสดงให้คนเห็นได้ว่า กรอบความคิดในการทำงานไม่ใช่แค่เรื่องทฤษฎี แต่เมื่อนำไปใช้จริงแล้วต้องมีข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เข้มแข็งสนับสนุนด้วย เพียงแต่ข้อจำกัดสำคัญของประเทศขนาดเล็กก็คือ เราไม่สามารถทำอะไรคนเดียวได้ ต้องหาพันธมิตร ซึ่งที่ผ่านมา ประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ก็ทำงานร่วมกับเราอย่างแข็งขัน
ธปท. ไม่ใช่แค่ผู้นำทางความคิดที่ผลักดันนโยบายแบบผสมผสาน แต่ยังเป็นผู้นำในด้านการปฏิบัติ (practice leadership) ด้วย มีหลายเรื่องที่ประเทศไทยถือว่าอยู่ระดับแถวหน้าของโลก โดยเฉพาะเรื่องระบบการชำระเงิน อย่างระบบพร้อมเพย์ที่มีผู้ลงทะเบียนใช้งานกว่า 70 ล้านหมายเลข และใช้กันมากถึง 50 ล้านรายการต่อวัน ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีคนใช้ mobile banking เป็นลำดับต้น ๆ ของโลก อีกทั้งการเชื่อมโยงระหว่างระบบพร้อมเพย์กับเพย์นาว ของสิงคโปร์ยังเป็นโครงการแรกของโลก ที่เชื่อมต่อระบบการโอนเงินแบบทันทีระหว่างประเทศเข้าด้วยกัน และยังมีศักยภาพที่จะเชื่อมโยงกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนต่อไปในอนาคตด้วย จะเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้ด้อยกว่าที่อื่นเลย ต่างประเทศก็ให้ความสนใจตรงนี้มาก และอยากฟังประสบการณ์ของเรา
นอกจากนี้ ในเรื่องการทดลองทำนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เราทำได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะการทำสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency: CBDC) ซึ่งเราเป็นประเทศต้น ๆ ของโลกที่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากโครงการในประเทศที่ศึกษาการโอน CBDC ระหว่างสถาบันการเงินในประเทศ และต่อยอดมาเป็นโครงการ Multiple Currency CBDC Bridge (mBridge) ซึ่งเป็นการทดลองนำเงินสกุลดิจิทัลมาใช้สำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศร่วมกับธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ธนาคารกลางแห่่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์์ (CBUAE) ธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PBC) และ BIS ซึ่งก็ได้รับผลที่น่าพึงพอใจมาก เพราะจากเดิมการโอนเงินไปยังต่างประเทศที่ต้องใช้เวลาเฉลี่ย 3-5 วัน ตอนหลังก็เหลือแค่หลักวินาที ทั้งต้นทุนก็ลดลงมากด้วย เป็นตัวอย่างที่ทุกประเทศให้ความสนใจ
ธปท. ได้รับเกียรติให้ไปอยู่ใน Central Bank Governance Group ของ BIS ซึ่งเป็นเวทีที่พูดเรื่องธรรมาภิบาลกันโดยเฉพาะ ซึ่งหลังจากไปร่วมหารือมาแล้วหลายครั้ง สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ธรรมาภิบาลของ ธปท. ไม่ได้ด้อยกว่าต่างประเทศเลย มีหลายประเด็นที่เราไปแชร์กับต่างประเทศและเป็นแนวปฏิบัติที่เขาสนใจ แลกเปลี่ยน เรียนรู้กันว่า ของใครมีข้อดีข้อเสียอย่างไร
แม้โมเดลของแต่ละประเทศจะมีหลายอย่างต่างกัน แต่แก่นธรรมาภิบาลของธนาคารกลางคือ ความเป็นอิสระ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดด้วยว่า คุณมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ สำหรับ ธปท. การออกแบบการกำกับดูแลถือว่าทำได้ค่อนข้างดี คณะกรรมการหลัก ทั้ง 4 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการ ธปท. ที่กำกับดูแลกิจการทั่วไป คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) และคณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) ถูกออกแบบให้เป็นอิสระต่อกัน แต่ก็ทำงานร่วมกันได้ดี
การออกแบบคณะกรรมการ ยกตัวอย่างเช่น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีกรรมการทั้งหมด 7 คน ก็เป็นคนใน ธปท. 3 คน และมีผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก 4 คน ขณะที่โมเดลของต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็นคนในมากกว่าคนนอกเสียอีก สะท้อนให้เห็นว่า เราค่อนข้างเปิดกว้างและรับฟังมากเลยทีเดียว และในแง่ของกระบวนการสรรหานั้น เราก็คัดเลือกกันค่อนข้างเข้มข้น ยากมากที่จะมีใครเข้ามาแทรกแซง ตรงนี้ก็ช่วยรับประกันความเป็นอิสระของ ธปท. ได้
โดยหลักการ ธปท. ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (flexible inflation targeting) ซึ่งกำหนดชัดเจนว่า เงินเฟ้อต้องอยู่ที่ 1-3% เมื่อไหร่ที่หลุดจากกรอบนี้ ธปท. ต้องทำรายงานไปที่กระทรวงการคลัง และมีจดหมายชี้แจงถึงเหตุและผล ซึ่งเป็นกระบวนการที่เปิดเผยและโปร่งใส
อย่างไรก็ตาม ธปท. ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและชี้แจงต่อสาธารณะด้วย เราพยายามทำให้กระบวนการทำงานโปร่งใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระบวนการทำงานของ กนง. เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ตั้งแต่การมีทีมเลขานุการที่เตรียมข้อมูลต่าง ๆ ให้กรรมการ และการมีกำหนดการประชุมชัดเจน ภายหลังการประชุมก็มีแถลงการณ์ด้วยว่าตัดสินใจอย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร และยังเปิดเผยบันทึกการประชุมอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีรายงานนโยบายการเงินที่อธิบายในเชิงวิชาการอย่างละเอียดออกมาด้วย
ในแง่ความโปร่งใส โมเดลแบบที่เราใช้นี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่าที่อื่นเลย
(นิ่งคิด) ความไว้ใจและความน่าเชื่อถือ มักเป็นสิ่งที่เราคิดว่า “เป็นของตาย” จนอาจมองข้ามความสำคัญไป หรือไม่รู้สึกจนกระทั่งมันหายไป แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีขึ้น มันจะหายไปเร็วมาก และต้องใช้ความพยายามและเวลาอย่างมากในการรื้อฟื้นกลับมา บทเรียนจากวิกฤต 2540 สะท้อนเรื่องนี้ได้ดีมาก
อีกเรื่องคือ ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กและเป็นประเทศกำลังพัฒนา เราต้องให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วเสียอีก เพราะโดยธรรมชาติคนก็มองว่า เศรษฐกิจของประเทศลักษณะนี้มีความเสี่ยงมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว พูดง่าย ๆ คือ ต่างชาติค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องเสถียรภาพของเรามาก เป๋เมื่อไหร่เขาก็พร้อมตอบสนองทันที
คงต้องทำหลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นคือ การทำสิ่งที่แม้จะไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่มีความจำเป็นต้องทำ ยกตัวอย่างเช่น ความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ในมุมหนึ่ง ธปท. รู้และตระหนักดีว่า การขึ้นดอกเบี้ยไม่ใช่นโยบายที่คนชอบ และอาจส่งผลกระทบต่อลูกหนี้ แต่ถ้าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแล้ว ไม่ทำอะไรเลย ความน่าเชื่อถือในแง่ของการดูแลเสถียรภาพก็จะเสียไป ซึ่งถ้าเสียไปแล้วจะเสียหายกว่ามาก นี่เป็นตัวอย่างของความจำเป็นในการรักษาความน่าเชื่อถือ
ขอยกตัวอย่างในด้านกลับกันบ้าง เมื่อปีที่แล้วที่เงินเฟ้อโลกสูงมากและมีผลกระทบมายังประเทศไทยด้วย ตอนนั้นธนาคารกลางใหญ่ ๆ ต่างพากันขึ้นดอกเบี้ยแรงกันหมด แต่ ธปท. เลือกขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยไปค่อยไป และก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากว่าขึ้นดอกเบี้ยช้าและขึ้นไม่แรงพอ ซึ่งตอนนั้นเราก็ได้อธิบายไปว่าการขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปเหมาะกับบริบทไทยมากกว่า
ประเด็นที่อยากชี้ให้เห็นคือ ในฐานะธนาคารกลางของประเทศ ธปท. มีหน้าที่ดูแลเศรษฐกิจไทย จึงต้องติดตามว่ามีอะไรเกิดขึ้นในโลก และโลกคิดอย่างไร เรื่องพวกนี้เราต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ แต่เสร็จแล้วต้องกลับมาวิเคราะห์ว่า เราอยู่ตรงไหน ต้องชั่งน้ำหนัก และตัดสินใจให้เหมาะกับเศรษฐกิจเรา
อันดับแรกคือเรื่อง “คน” คน ธปท. มีความรู้ความสามารถ แต่มักจะกังวลกับเรื่องภาษาอังกฤษ กลัวว่าสำเนียงไม่ดี ซึ่งน่าเสียดาย เพราะจริง ๆ แล้ว เวลาเราไปเวทีระหว่างประเทศ คนประเทศอื่น ๆ ก็พูดภาษาอังกฤษสำเนียงแบบของเขา ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย อย่างที่บอกไปแล้วว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “ข้อมูลเชิงลึก” อะไรที่เราทำมากับมือ เราไปแชร์กับโลกได้สบาย อันนี้เป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งผมอยากเชียร์ให้คน ธปท. กล้าออกไปพูดมากขึ้น และยึดติดกับความสมบูรณ์ของภาษาน้อยลง
อีกเรื่องที่ คน ธปท. ทำได้ดีอยู่แล้ว แต่อยากบันทึกไว้คือ เวลาออกไปข้างนอก เราต้องฟังด้วย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากของงานต่างประเทศ ต้องฟังให้เยอะ ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว เพราะหลายเรื่องพอเราทำมาเยอะ คนมองว่าเราเชี่ยวชาญ ก็อาจเผลอคิดว่าตัวเองรู้เยอะ และลืมที่จะฟัง
อีกเรื่องคือระบบของ ธปท. ที่ยังทำงานกันแบบแยกส่วนกันอยู่ เวลาที่เราส่งคนไปต่างประเทศ ได้ความรู้และประสบการณ์กลับมา ก็อยากให้ความรู้เหล่านี้ถูกแชร์ไปทั้งองค์กร และกลายเป็นองค์ความรู้ของส่วนรวม ไม่ผูกติดอยู่กับคนใดคนหนึ่ง ซึ่งการจะทำแบบนี้ได้ การจัดการความรู้ภายในของ ธปท. ยังต้องดีกว่านี้ แม้ที่ผ่านมา เราพยายามปรับให้เป็น One BOT มากขึ้น แต่ก็ยอมรับว่ายังมีช่องว่างให้ยกระดับอีกมาก
ธปท. มีองค์ความรู้สะสมอยู่มาก แต่การจะมีระบบที่ทำให้คน 3,000 คน เข้าถึงความรู้ที่สะสมมานี้ก็เป็นโจทย์ที่หินมาก
ดีมากที่ชวนคุยเรื่องนี้ เพราะผมเตรียมมาแต่ลืมเหมือนกัน (หัวเราะ)
ด้านซอฟต์ไซด์เป็นด้านที่ คน ธปท. เก่งนะ เรียกว่าอยู่ในดีเอ็นเอของเราเลย ตัวอย่างที่ชัดเจนเลยคือ เมื่อเดือนธันวาคม 2565 ที่เราจัดงานสัมมนาร่วมกับ BIS เนื่องในวาระครบรอบ 80 ปี ของ ธปท. เราได้รับเกียรติจากตัวแทนธนาคารกลางระดับสูงมาจากทั่วโลก มันสะท้อนให้เห็นว่า เรามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ๆ และหลายคนก็ประทับใจกับการต้อนรับขับสู้ของเรา
ทั้งในเวทีทวิภาคีและพหุภาคี ทำให้เราได้ทำงานกับธนาคารกลางอื่น ๆ อย่างใกล้ชิดและก็ได้ประโยชน์มาก เวลาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกัน ประเทศต่าง ๆ ก็แชร์เรื่องอินไซด์กัน ซึ่งดีมาก โดยเฉพาะธนาคารกลางจากประเทศที่มีบริบทคล้ายกับเรา เวลาแชร์ปัญหา เล่าปัญหา ก็จะเจอคล้าย ๆ กัน หลายครั้งคุยกันไม่ได้คำตอบ ก็ถือว่าเป็นการปรับทุกข์กันไป เป็นบรรยากาศที่ดีมาก ๆ (หัวเราะ)
จริง ๆ ความร่วมมือระหว่างประเทศไม่ได้มีแค่เรื่องวิชาการเท่านั้น ในระดับพนักงานก็มีการจัดงานกระชับมิตรกันอยู่เรื่อย ๆ เช่น การแข่งกีฬา งานเลี้ยงต่าง ๆ ก็ผลัดกันเป็นเจ้าภาพ ในแง่หนึ่ง ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอ่อนหวาน เฟรนด์ลี่แบบคนไทยก็ทำให้เราเป็นที่รัก ซึ่งฟีดแบ็กจากเพื่อน ๆ พันธมิตรประเทศต่าง ๆ ตรงนี้ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าดีใจมาก
จากเรื่องราวเบื้องหลังการทำงานด้านต่างประเทศของ ธปท. ที่ ดร.เศรษฐพุฒิเล่าให้ฟังด้วยตัวเองนั้น ทำให้รู้สึกว่า เมื่อต้องอยู่บนเวทีโลกแล้ว ธปท. จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้เลย แต่ต้องใช้ทั้งความเป็นมืออาชีพ ที่มีทั้งความรู้จริง ข้อมูลเชิงลึก และผ่านประสบการณ์จริง เพื่อที่จะได้นำไปแบ่งปันให้กับธนาคารกลางอื่น และเพื่อที่จะได้รับความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจกลับมา ขณะเดียวกัน การบริหารงานที่โปร่งใส เป็นอิสระ และมีความรับผิดชอบ รวมถึงการสร้างมิตรภาพที่ดีกับธนาคารกลางต่าง ๆ ก็มีความสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งถือว่า ธปท. สามารถทำได้อย่างดีในการผลักดันทั้งโจทย์ของประเทศและโจทย์ร่วมของส่วนรวมให้สำเร็จลุล่วง
คุณสุขใจ ว่องไวศิริวัฒน์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ
สิ่งแรกที่ถามตัวเองตอนเริ่มทำงานด้านต่างประเทศ คือ เราทำไปทำไม คาดหวังจะเห็นภาพสุดท้ายประมาณไหน แบบไหนที่เรียกว่างานสำเร็จ ซึ่งตรงนี้มองว่าคำตอบมี 2 ระดับ คือ ในภาพใหญ่ ยิ่งเราทำงานด้านต่างประเทศได้ดีแค่ไหน การดำเนินนโยบายตามหน้าที่ของธนาคารกลางก็จะยิ่งทำได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เพราะเครื่องมือของธนาคารกลางแทบทุกอย่าง ล้วนเชื่อมโยงกับปัจจัยต่างประเทศและมักถูกเปรียบเทียบกับนโยบายของต่างประเทศแทบทั้งสิ้น การทำงานด้านต่างประเทศก็ต้องตามให้ทัน ให้ได้ insights อย่างรู้เท่าทันว่าโลกกำลังจับตาประเด็นไหน หรืออะไรกำลังจะเป็นปัญหา ทั้งตอนคิดนโยบาย ช่วงเวลาที่ออกนโยบาย รวมถึงตอนสื่อสารนโยบาย เพื่อรักษาความเชื่อมั่น ที่พร้อมจะเหือดหายไปได้อย่างรวดเร็วหากเราทำช้าไป
ในภาพย่อย มีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ เพื่อรักษาสิทธิ์และผลประโยชน์ของไทยและภูมิภาค ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจการเงินที่เราต้องมีกลยุทธ์ในการเข้าร่วมเจรจา Free Trade Agreements ในส่วนของภาคการเงินและการวางกลยุทธ์เชิงรุกในด้านอื่น ๆ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ นโยบายการกำกับสถาบันการเงิน หรือแม้กระทั่งแนวนโยบาย/มาตรฐานสากลด้าน climate change และเพื่อสร้างความทนทาน (resilience) ให้เศรษฐกิจไทย ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเล็กและกำลังพัฒนา คงก้าวไปคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านแข็งแรงไปด้วยกัน แต่ถ้ามีใครล้ม เศรษฐกิจของทั้งภูมิภาคจะไม่พังตามกันไป เพราะธนาคารกลางได้ร่วมกันสร้างกลไกให้ความช่วยเหลือทางการเงินพร้อมกับพัฒนาบุคลากร เพื่อให้เราและเพื่อนบ้านได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน