ข้อควรคำนึงก่อนตัดสินใจให้ยืมเงิน หรือค้ำประกันเงินกู้
1. ถามวัตถุประสงค์ของการยืมเงินหรือการค้ำประกันเงินกู้
เราควรถามรายละเอียดต่าง ๆ จากคนที่จะขอยืมเงินหรือให้ค้ำประกันเงินกู้ ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร วงเงินเท่าไร เหตุใดจึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากเรา เช่น เงินไม่พอใช้จ่าย ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ จ่ายค่าบัตรเครดิต หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน นอกจากนี้ เราต้องประเมินเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น คนที่จะขอยืมเงินหรือให้ค้ำประกันเงินกู้มีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่ หากเรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่สามารถจ่ายหนี้ได้คงเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ดีแน่นอน เราในฐานะว่าที่เจ้าหนี้หรือผู้ค้ำประกันมีสิทธิ์ที่จะซักถามจนสิ้นสงสัยและไม่ต้องเกรงใจ เพราะคำถามเหล่านี้จะช่วยทำให้เราทราบข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะช่วยหรือไม่ ได้ดียิ่งขึ้น
2. ประเมินสถานะทางการเงินของตัวเอง
สิ่งแรกที่ควรคิดถึงก่อนก็คือ ถ้าเราช่วยเขาเราจะมีโอกาสกลายเป็นคนที่เดือดร้อนไปด้วยอีกคนหรือไม่ หากเขาไม่คืนเงินหรือเราต้องจ่ายหนี้ที่เราค้ำประกันแทนเขา เราจะไหวไหม ดังนั้น จึงต้องประเมิน “สถานะทางการเงินของตัวเราเอง” ว่า
-เรามีความเดือดร้อน หรือปัญหาด้านการเงินหรือไม่
-มีหนี้สินเท่าไร มีรายรับ-รายจ่ายเป็นอย่างไร มีสภาพคล่องเพียงพอหรือไม่ โดยให้คิดถึงทั้งสถานะปัจจุบันและคาดการณ์ไปถึงภาระที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหากโดนเบี้ยวหนี้
-มีเงินออมรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ เพียงพอหรือไม่ และมีเงินออมสำหรับรายจ่ายก้อนใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้าหรือยัง เช่น ค่าเทอมลูก ค่าผ่าตัดของสมาชิกในบ้าน เงินที่เตรียมไว้ดาวน์บ้าน ดาวน์รถ ซึ่งเงินออมทั้ง 2 ก้อนนี้เป็นเงินที่เรากันไว้เพื่อความจำเป็นในชีวิตของเรา จึงไม่ควรเอาไปให้ใครยืม
3. ไตร่ตรองเรื่องอื่น ๆ นอกจากเรื่องเงิน
นอกจากความเสี่ยงเรื่องเงินแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาความสัมพันธ์ เมื่อคนที่ยืมเงินหรือขอให้ช่วยค้ำประกันเงินกู้ไม่สามารถจ่ายคืนหนี้ได้ ก็บ่ายเบี่ยงหลบหน้า ไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากคุย หรือเป็นปัญหาอีกด้านหนึ่งคือคนที่ให้ยืมไม่กล้าทวงเงินเพราะกลัวกระทบต่อความสัมพันธ์ อีกปัญหาที่พบบ่อยก็คือ เกิดความวิตกกังวลและความเครียดสะสมทั้งตัวผู้ให้ยืม ผู้ขอยืม และผู้ค้ำประกัน ส่งผลต่อสุขภาพและอารมณ์ บั่นทอนให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง จึงต้องคิดถึงปัญหาเหล่านี้ไว้ด้วย
4. ปรึกษาครอบครัว
ถ้าเราแต่งงานแล้ว อย่าด่วนตัดสินใจให้ยืมเงินหรือค้ำประกันเงินกู้ให้ใครโดยไม่ปรึกษาคู่ชีวิตหรือครอบครัว เพราะนอกจากใช้ชีวิตร่วมกันแล้วส่วนใหญ่ก็ใช้และรับผิดชอบเงินร่วมกันด้วย ดังนั้น ครอบครัวควรรับรู้และร่วมตัดสินใจ เช่น ช่วยเราคิดว่าจะให้ยืมเงินหรือค้ำประกันเงินกู้หรือไม่ เป็นจำนวนเงินเท่าไร ซึ่งคู่สมรสที่จดทะเบียนต้องเซ็นหนังสือยินยอมหรือรับทราบว่าสามีหรือภรรยาของตนเองค้ำประกันเงินกู้ให้คนอื่นด้วย นอกจากนี้ เรื่องราวอาจบานปลายไปสู่ปัญหาครอบครัว เช่น ทะเลาะเบาะแว้งจนต้องหย่าร้าง หรือหากถูกยึดบ้านไปขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ ครอบครัวก็จะเดือดร้อนไม่มีที่อยู่อาศัยโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน ความคิดเห็นของครอบครัวอาจทำให้เราได้มุมมองที่ไม่เคยนึกถึง และหากครอบครัวไม่เห็นด้วย ก็ควรเคารพการตัดสินใจ และปฏิเสธการให้ยืมเงิน หรือค้ำประกันเงินกู้ไป
หากในที่สุดแล้ว เราตัดสินใจจะให้ยืมเงินหรือค้ำประกันเงินกู้ ก็ควรหาวิธีป้องกันความเสียหายหรือลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่รับได้ โดยสามารถใช้วิธีดังต่อไปนี้