หากกำลังอยู่ในสถานการณ์เงินไม่พอใช้หนี้ ขอให้ตั้งสติให้ดี แล้วค่อย ๆ พยายามหาทางแก้ไข ดังนี้
ผ่อนไม่ไหวทำอย่างไรดี
หากกำลังอยู่ในสถานการณ์เงินไม่พอใช้หนี้ ขอให้ตั้งสติให้ดี แล้วค่อย ๆ พยายามหาทางแก้ไข ดังนี้
เพื่อไม่ให้เงินต้นและดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
อาจทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อดูว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่ไม่จำเป็นและพอจะลด ละ เลิก ได้บ้าง เช่น เหล้า บุหรี่ หวย เที่ยวกลางคืน ของแบรนด์เนม
จากความสามารถพิเศษที่มี เช่น ทำขนมขาย รับจ้างซ่อมแซมสิ่งของ ประกวดความสามารถชิงรางวัลต่าง ๆ
เพราะอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น
แต่หากยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด อาจใช้วิธีเข้าไปหารือกับสถาบันการเงิน เพื่อปรึกษาและหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน เช่น ขอลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละงวดจนกว่าจะสามารถกลับไปชำระเงินในแบบเดิมที่เคยตกลงกันไว้
คือ "การเปลี่ยนเจ้าหนี้"หรือการ "ปิดหนี้" จากเจ้าหนี้รายเดิมมาเป็นเจ้าหนี้รายใหม่ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ เราควรคำนวณให้ดีก่อนว่าคุ้มหรือไม่ โดยเปรียบเทียบว่าเงินที่ประหยัดได้จากดอกเบี้ยที่ลดลงมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการที่ต้องเริ่มกระบวนการพิจารณาสินเชื่อใหม่ทั้งหมด เช่น
- ค่าจดจำนองหลักประกัน
- ค่าใช้จ่ายในการประเมินมูลค่าหลักประกัน
- ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำประกัน
- ค่าปรับให้แก่เจ้าหนี้เก่า ในกรณีที่ยุติการกู้ก่อนระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา
หากพบว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูง หรือเสียเวลาในการดำเนินการมาก แต่ช่วยให้ประหยัดเงินได้น้อย การใช้บริการผู้ให้สินเชื่อเดิมอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ตัวอย่าง เปรียบเทียบดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ กับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการรีไฟแนนซ์ เพื่อประเมินเบื้องต้น ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์
นาย ก ได้กู้เงินซื้อบ้านจากธนาคาร A เป็นเงิน 2,200,000 บาท โดยกู้มาแล้ว 2 ปี ขณะที่เงินต้นคงเหลือ 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายอยู่เดิมคือ 7% โดยนาย ก กำลังตัดสินใจว่าจะรีไฟแนนซ์ไปธนาคาร B ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ย 3% เป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (ให้สันนิษฐานว่าหลังจากหมดโปรโมชั่นแล้ว จะใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ซึ่งเท่ากับอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินเดิม) แต่นาย ก ต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 3% ของยอดคงค้าง เพราะเพิ่งจะกู้ไม่ถึง 3 ปี
1. การคำนวณดอกเบี้ยที่ประหยัดได้
จำนวนดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ = (เงินต้นคงค้าง x อัตราดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ x จำนวนปีที่ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำ)
(2,000,000 x 4% x 3) = 240,000 บาท
2. ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นหากรีไฟแนนซ์
1) ค่าปรับกรณีไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด (Prepayment fee) ที่ต้องจ่ายให้แก่ธนาคารเดิมหากผู้กู้ไถ่ถอนสินเชื่อที่อยู่อาศัยก่อนระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งมักกำหนดระยะเวลาภายใน 3 ปีหรือ 5 ปีนับจากวันทำสัญญา
ยกตัวอย่างเช่น ในสัญญากำหนดว่าจะคิดค่าปรับในอัตรา 3% หากผู้กู้ไถ่ถอนก่อนกำหนดในระยะเวลา 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา
หากผู้กู้ทำสัญญาสินเชื่อที่อยู่อาศัย 1 ม.ค. 2562 และจะไถ่ถอนสินเชื่อเพื่อย้ายไปธนาคารอื่นวันที่ 1 ม.ค. 2564 กรณีนี้ผู้กู้จะเสียค่าปรับเพราะไถ่ถอนก่อนครบ 3 ปี โดยจะคำนวณค่าปรับจากยอดเงินต้นคงค้าง ณ วันที่ผู้กู้ไถ่ถอน
สมมุติว่า มียอดเงินต้นคงค้าง 2,000,000 บาท ดังนั้น ผู้กู้จะเสียค่าปรับ (2,000,000 x 3%) เท่ากับ 60,000 บาท
2) ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการขอสินเชื่อ เมื่อเราจะรีไฟแนนซ์ไปธนาคารใหม่ ธนาคารก็จะคิดค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกับการขอสินเชื่อใหม่ เช่น
รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหากรีไฟแนนซ์ (60,000 + 3,000 + 20,000 + 1,000) = 84,000 บาท
เมื่อได้ข้อมูลแล้วให้นำมาเปรียบเทียบดูว่า ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้จากการรีไฟแนนซ์กับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดจากการรีไฟแนนซ์ รายการไหนสูงกว่ากัน
จากตัวอย่าง จะเห็นว่าดอกเบี้ยที่ประหยัดได้มากกว่าค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสีย ในกรณีนี้จึงมีความคุ้มค่าที่จะรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารใหม่
แต่หากประเมินแล้วไม่คุ้มค่าที่จะรีไฟแนนซ์ เช่น ดอกเบี้ยที่ประหยัดได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย หรือค่าใช้จ่ายสูงกว่าดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ ผู้กู้อาจลองใช้วิธีเจรจากับธนาคารเดิมเพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ยแทนการรีไฟแนนซ์ได้
ลูกหนี้ควรติดต่อเจ้าหนี้เพื่อขอความช่วยเหลือ เช่น การขอปรับโครงสร้างหนี้ จะเกิดขึ้นในกรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามสัญญาเงินกู้เดิม ลูกหนี้จึงประสงค์ที่จะขอผ่อนปรนการชำระหนี้กับสถาบันการเงินตามความสามารถ โดยลูกหนี้ควรชี้แจงสาเหตุหรือปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ให้สถาบันการเงินทราบ เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาอนุมัติการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต่อไป
การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต้องมีการทำสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม โดยข้อตกลงของสัญญานั้นจะขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างลูกหนี้และสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งอาจเป็นการตกลงเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ตามสัญญาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเช่น เรื่องอัตราดอกเบี้ย หรือระยะเวลาการชำระหนี้
หากมีปัญหาที่หาทางออกในการแก้ไขหนี้ไม่ได้ สามารถโทรมาขอคำปรึกษาที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร. 1213