คำถามพบบ่อย

โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" 

(โครงการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ทั้งผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มของสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่มิใช่บริษัทในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์) 

 

 

*อัพเดทข้อมูล ณ วันที่ 25 เมษายน 2568

มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ : การปรับโครงสร้างหนี้แบบเน้นตัดเงินต้น ลดภาระดอกเบี้ย 

รายละเอียดมาตรการ

- ธนาคารพาณิชย์และบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์

- สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (ธสน.)) 

 

ตรวจสอบรายชื่อสถาบันการเงินที่เข้าร่วมมาตรการได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo

- ลูกหนี้จ่ายค่างวดน้อยลงเป็นระยะเวลา 3 ปี โดย

ปีที่ 1 ชำระ 50% ของค่างวดเดิม

ปีที่ 2 ชำระ 70% ของค่างวดเดิม

ปีที่ 3 ชำระ 90% ของค่างวดเดิม 

- ค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด

- หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ครบ 3 ปี สถาบันการเงินจะยกดอกเบี้ย

ที่พักไว้ให้ หลังสิ้นสุดโครงการ

- ลูกหนี้สามารถตกลงกับเจ้าหนี้ในการชำระค่างวดมากกว่าที่กำหนดได้ เพื่อให้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น

คุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการ

ลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

1.    มีวงเงินรวมเป็นรายลูกหนี้ในแต่ละประเภทสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่ร่วมมาตรการ ดังต่อไปนี้

คุณสู้ เราช่วย

1/กรณีวงเงินสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์พิจารณาจากยอดจัดเช่าซื้อไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในวันเริ่มต้นทำสัญญาเช่าซื้อ

 

2. เป็นสัญญาสินเชื่อที่ทำก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567

3. มีสถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ 
(1) หนี้ที่ค้างชำระมากกว่า 30 วัน จนถึง 365 วัน (นับจากวันครบกำหนดชำระ)
(2) เคยปรับโครงสร้างหนี้ (ปรับหนี้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 65) และเคยมีวันค้างชำระเกิน 30 วัน (นับจากวันครบกำหนดชำระ) แต่ปัจจุบันต้องไม่ค้างชำระหรือค้างไม่เกิน 30 วัน

คำนวณจากวงเงินของสินเชื่อแต่ละประเภทที่ลูกหนี้มีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 

ตัวอย่าง:

• ลูกหนี้มีสินเชื่อกับสถาบันการเงินแห่งเดียวกัน 3 บัญชี ได้แก่ สินเชื่อบ้าน 2 บัญชี (วงเงิน 5 ล้านบาท และ 3 ล้านบาท) และสินเชื่อเช่าซื้อรถวงเงิน 6 แสนบาท หนี้บ้านจะเข้ามาตรการไม่ได้ เนื่องจากมีวงเงินรวมเกิน 5 ล้านบาท แต่หนี้เช่าซื้อรถเข้าร่วมมาตรการได้

• ลูกหนี้มีสินเชื่อกับ 2 สถาบันการเงิน ได้แก่ 

  o สถาบันการเงิน 1: สินเชื่อบ้าน วงเงิน 2 ล้านบาท สินเชื่อเช่าซื้อรถวงเงิน 6 แสนบาท หนี้ทั้ง 2 ประเภทเข้าร่วมมาตรการได้

  o สถาบันการเงิน 2: สินเชื่อบ้าน วงเงิน 3 ล้านบาท เข้ามาตรการได้

 

- ให้นับรวมวงเงินสินเชื่อ top up ด้วย แต่ไม่รวมวงเงินประกันคุ้มครองสินเชื่อบ้าน หรือ MRTA (Mortgage Reducing Term Assurance) เพื่อมิให้ลูกหนี้ถูกตัดสิทธิ์เพียงเพราะมีการทำประกันเพื่อคุ้มครองความเสี่ยง 

- ทั้งนี้ เมื่อเข้าร่วมมาตรการแล้ว ให้สถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้โดยรวม MRTA ด้วย เนื่องจากอยู่บนหลักประกันเดียวกัน เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมาตรการที่ต้องการช่วยลูกหนี้ให้รักษาทรัพย์ไว้ได้

 

ตัวอย่าง:  

- ลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อบ้าน 4.5 ล้านบาท + วงเงิน top up อีก 0.5 ล้านบาท และมีวงเงินสินเชื่อ MRTA อีก 20,000 บาท สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ เพราะวงเงินรวมที่ไม่รวม MRTA ไม่เกิน 5 ล้านบาท (4.5+0.5 = 5 ล้านบาท) ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือตามมาตรการ ให้นำ MRTA มารวมในการปรับโครงสร้างหนี้ด้วย จึงทำให้ยอดหนี้ในการปรับโครงสร้าง คือ 5.02 ล้านบาท

- ลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อบ้าน 5 ล้านบาท หลังจากที่ผ่อนชำระเหลือหนี้คงค้าง 3 ล้านบาท ได้รับวงเงิน top up เพิ่มเติมก่อนวันที่ 31 ต.ค. 67 อีก 2.5 ล้านบาท บนหลักประกันเดิมที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ลูกหนี้รายนี้ไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ เพราะวงเงินรวมของลูกหนี้อยู่ที่ 5.5 ล้านบาท (3+2.5 = 5.5 ล้านบาท)

เข้ามาตรการได้ทั้ง 2 สัญญา เพราะมาตรการนี้ต้องการให้ลูกหนี้สามารถรักษาทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถ ไว้ได้ จึงให้ความช่วยเหลือเป็นรายลูกหนี้ หากมีสินเชื่อบางบัญชีที่เข้าข่ายตามมาตรการนี้ ลูกหนี้สามารถนำสินเชื่อบัญชีอื่นในประเภทเดียวกันเข้ามาตรการนี้ได้

ได้ หากเป็นหนี้บ้าน/หนี้รถยนต์/หนี้รถจักรยานยนต์ที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ลูกหนี้สามารถนำหนี้บัตรเครดิต/สินเชื่อส่วนบุคคล มารวมได้ และเมื่อนำหนี้ไปรวมแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดด้วย  

ตัวอย่าง

- สินเชื่อบ้าน วงเงิน 5 ล้านบาท ผ่อนชำระเหลือยอดคงค้าง 4.7 ล้านบาท มีสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล (CCPL) 0.2 ล้านบาท สามารถเข้าร่วมมาตรการนี้ได้ เพราะวงเงินรวมไม่เกิน 5 ล้านบาท (4.7 + 0.2 = 4.9 ล้านบาท)

- สินเชื่อบ้าน วงเงิน 5 ล้านบาท ผ่อนชำระเหลือยอดคงค้าง 4.7 ล้านบาท มีสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล (CCPL) 0.5 ล้านบาท ไม่สามารถเข้ามาตรการนี้ได้ เพราะวงเงินรวมเกิน 5 ล้านบาท (4.7 + 0.5 = 5.2 ล้านบาท) 

ได้ หากลูกหนี้มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด

ได้ โดยสถาบันการเงินจะชะลอการฟ้องออกไปก่อน (แต่ไม่ได้ถอนฟ้อง) ในกรณีที่ลูกหนี้โดนยึดทรัพย์แล้ว แต่ทรัพย์ยังไม่ได้ถูกขายทอดตลาด/การขายทอดตลาดยังไม่สำเร็จ ลูกหนี้ที่เข้าข่ายตามคุณสมบัติของมาตรการสามารถเข้าร่วมมาตรการได้ แต่เมื่อเข้าร่วมมาตรการแล้วและไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการได้ สถาบันการเงินจะเดินเรื่องในกระบวนการทางศาลต่อไป

หากสินเชื่อทั้งแบบกู้เดี่ยวและกู้ร่วมของลูกหนี้มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ ลูกหนี้สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ทั้ง 2 สัญญา

ตัวอย่าง:  
กรณีนาย ก. มีสินเชื่อบ้านวงเงิน 5 ล้านบาทกับธนาคาร A ซึ่งมีวันค้างชำระ 270 วัน (กู้เดี่ยว) และนาย ก. กู้ร่วมกับ นาง ข. มีสินเชื่อบ้านวงเงิน 3 ล้านบาท (กู้ร่วม) ซึ่งมีวันค้างชำระ 90 วัน ลูกหนี้สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ทั้ง 2 สัญญา โดยสถาบันการเงินจะพิจารณาวงเงินกู้ร่วมและวงเงินกู้เดี่ยวแยกกัน 

ได้ เพราะสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์/ไมโครไฟแนนซ์นับเป็นสินเชื่อ SMEs รายย่อย จึงสามารถเข้าร่วมมาตรการได้ หากลูกหนี้มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ

ได้ หากลูกหนี้มีสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งที่เป็นไปตามเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ

ไม่ได้ หากลูกหนี้มีหนี้กับสหกรณ์อย่างเดียว เพราะหนี้สหกรณ์อยู่ใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงคลังหรือ ธปท.) แต่ถ้าลูกหนี้มีทั้งหนี้ที่กู้กับสหกรณ์และกู้กับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ และยังมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่กำหนด ลูกหนี้สามารถนำหนี้ที่มีกับสถาบันการเงินมาเข้าร่วมในโครงการนี้ได้

ไม่ได้ เพราะการให้สินเชื่อประเภทนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ซื้อบ้านหรือรถ จึงไม่เข้าเงื่อนไข อย่างไรก็ดี ลูกหนี้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากมาตรการอื่น ๆ ของธนาคารได้

พิจารณาจากยอดจัดเช่าซื้อ (ไม่รวม VAT) ในวันที่ทำสัญญา 

ตัวอย่าง:

• ลูกหนี้ ก. ซื้อรถ ราคา 1,000,000 บาท วางเงินดาวน์ 200,000 บาท จะมียอดจัดเช่าซื้อ (ไม่รวม VAT) 800,000 บาท ซึ่งสามารถเข้าร่วมมาตรการได้ ถ้ามีคุณสมบัติอื่น ๆ ตามเงื่อนไขตามที่กำหนด

• ลูกหนี้ ข. ซื้อรถ ราคา 1,000,000 บาท วางเงินดาวน์ 100,000 บาท จะมียอดจัดเช่าซื้อ (ไม่รวม VAT) 900,000 บาท ไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ เนื่องจากวงเงินเกินกว่าที่เงื่อนไขกำหนด

สามารถเข้าร่วมมาตรการได้หากมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่กำหนด เพราะโครงการไม่มีข้อกำหนดเรื่องอายุผู้กู้ 

เงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ

ลูกหนี้ต้องลงทะเบียน (opt-in) ผ่านระบบกลางของ ธปท. ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo ระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์ (เริ่ม 08.30 น.) –30 มิถุนายน 2568 (สิ้นสุด 23.59 น.) หรือติดต่อสาขาของผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เข้าร่วมมาตรการ

ลูกหนี้จะไม่สามารถขอสินเชื่อใหม่ในช่วง 12 เดือนแรกที่เข้าร่วมมาตรการ ยกเว้นลูกหนี้ SMEs ที่หากจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเป็นสภาพคล่องเพิ่มเติม เจ้าหนี้สามารถปล่อยกู้ใหม่ได้ โดยพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ตามความเหมาะสม

- เจ้าหนี้จะรายงานสถานะลูกหนี้ไปยังเครดิตบูโร (NCB) ได้แก่
(1) รหัสที่ระบุว่าลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการ ซึ่งมีระยะเวลา 3 ปี และ
(2) รหัสที่ระบุว่าลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการอยู่ในระยะเวลาห้ามก่อหนี้เพิ่มเป็นเวลา 12 เดือน

พิจารณาจากค่างวดล่าสุดก่อนทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการนี้

ตัวอย่าง:

• เดิมลูกหนี้จ่ายค่างวดที่ 10,000 บาท/เดือน ก่อนหน้านี้ลูกหนี้ได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และได้รับการลดค่างวดลดลงเหลือ 7,000 บาท/เดือน หากลูกหนี้เข้ามาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์นี้ ค่างวดที่ต้องชำระในระหว่างเข้ามาตรการจะคิดจากค่างวดล่าสุดที่ 7,000 บาท ดังนั้น จะมีค่างวดขั้นต่ำที่ 3,500 บาท โดยลูกหนี้สามารถจ่ายชำระค่างวดสูงกว่านี้ได้ตามที่ตกลงกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้
 

• ลูกหนี้ทำสัญญาสินเชื่อบ้าน 3 ปีแรกค่างวด 10,000 บาท/เดือน ต่อมาค่างวดได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 บาท/เดือน เมื่อผ่อนมาเกินกว่า 3 ปี หากลูกหนี้เข้ามาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์นี้หลังจากค่างวดได้ปรับเพิ่มเป็น 15,000 บาทแล้ว ค่างวดที่ต้องชำระในระหว่างเข้ามาตรการจะคิดจากค่างวดล่าสุดที่ 15,000 บาท ดังนั้น ค่างวดขั้นต่ำคือ 7,500 บาทต่อเดือน โดยลูกหนี้สามารถจ่ายชำระค่างวดสูงกว่านี้ได้ตามที่ตกลงกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้

ไม่ได้ ลูกหนี้ต้องผ่อนชำระค่างวดขั้นต่ำตามที่มาตรการกำหนดในลักษณะทยอยปรับขึ้นในแต่ละปี (ปีแรก 50% / ปีที่สอง 70% / ปีที่สาม 90%) เพื่อให้มั่นใจว่าลูกหนี้จะสามารถกลับมาชำระที่ 100% ของค่างวดเดิมได้ในปีที่ 4 หลังจบมาตรการ

ได้ โดยลูกหนี้สามารถเจรจากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ เพื่อขอจ่ายค่างวดสูงกว่าที่กำหนดได้ 

ได้ หากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้และเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาที่ตกลงไว้กับสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินจะยกดอกเบี้ยที่พักไว้ในช่วงที่ลูกหนี้เข้ามาตรการให้

ลูกหนี้สามารถติดต่อสถาบันการเงินได้ ทั้งในกรณีที่ (i) ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ เช่น (1) ลูกหนี้ก่อหนี้ใหม่ก่อนระยะเวลา 12 เดือน หรือ (2) ลูกหนี้ค้างชำระหนี้จนกลายเป็น NPL และ (ii) ลูกหนี้ต้องการออกจากมาตรการก่อนกำหนด ซึ่งทั้ง 2 กรณี สถาบันการเงินจะเรียกเก็บดอกเบี้ยกับลูกหนี้ในอัตรา 50% ของดอกเบี้ยที่พักไว้ในระหว่างที่เข้ามาตรการ

- ลูกหนี้สามารถติดต่อสถาบันการเงินเพื่อขอความช่วยเหลือด้วยแนวทางอื่นของสถาบันการเงิน เช่น มาตรการแก้หนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending หรือมาตรการแก้หนี้อื่น ๆ เช่น คลินิกแก้หนี้ by SAM 

ไม่ใช่ ลูกหนี้ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการตามความสมัครใจ (opt-in)  ซึ่งสถาบันการเงินจะติดต่อลูกหนี้เพื่อเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการต่อไป

ระหว่างที่เข้าร่วมมาตรการนี้ ดอกเบี้ยยังเดินอยู่ตามปกติ แต่มาตรการครั้งนี้จะต่างจากมาตรการที่ผ่านมา คือ หากลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมมาตรการ สถาบันการเงินเจ้าหนี้จะยกดอกเบี้ยที่พักไว้ระหว่างอยู่ในมาตรการให้ทั้งหมด

การที่ลูกหนี้เข้าร่วมมาตรการ โดยไม่ได้นำสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมาเข้าร่วมมาตรการด้วยนั้น จะไม่เป็นสาเหตุให้ลูกหนี้ไม่สามารถใช้วงเงินสินเชื่อเดิมที่เหลืออยู่ได้ แต่ลูกหนี้จะไม่สามารถขอวงเงินสินเชื่อใหม่ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดห้ามก่อหนี้เพิ่มในช่วง 12 เดือนแรกหลังเข้ามาตรการ

แม้ลูกหนี้จะไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มเติมได้ในระยะเวลา 12 เดือนแรก เเต่ลูกหนี้จะมีสภาพคล่องเพิ่มเติมจากค่างวดที่ได้ชำระลดลง เช่น หากเดิมลูกหนี้จ่ายค่างวดสินเชื่อบ้านหรือ เช่าซื้อรถยนต์ที่ 10,000 บาทต่อเดือน เมื่อเข้าร่วมมาตรการค่างวดในปีแรกจะลดลงเป็น 5,000 บาทต่อเดือน เท่ากับว่าในแต่ละเดือนลูกหนี้จะมีสภาพคล่องเพิ่มเติมเดือนละ 5,000 หรือ 60,000 บาทในปีแรก โดยไม่มีภาระเสียดอกเบี้ยในสภาพคล่องดังกล่าว

กรณีลูกหนี้ในมาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมตามมาตรการช่วยเหลือจากเหตุแผ่นดินไหวของสถาบันการเงิน จะไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดเงื่อนไขของการเข้าร่วมมาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์

มาตรการจ่าย-ปิด-จบ : การลดภาระหนี้ให้ลูกหนี้ NPL ที่มียอดหนี้ไม่สูง

รายละเอียด

ธนาคารพาณิชย์และบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์

สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (ธสน.))

สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่มิใช่บริษัทในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์ เข้าร่วมมาตรการมีดังนี้ 

1. บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)
2. บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)

ตรวจสอบรายชื่อสถาบันการเงินที่เข้าร่วมมาตรการได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo

ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย (NPL) ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 และมีภาระหนี้คงค้าง (รวมเงินต้นและดอกเบี้ย*) ไม่เกิน 5,000 บาทต่อบัญชี

 

*กรณีหนี้ของ non-bank ที่ไม่ใช่บริษัทในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์ ภาระหนี้คงค้าง หมายถึงเงินต้นรวมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่ ธปท. ให้เรียกเก็บได้ตามเพดานดอกเบี้ย ซึ่งไม่รวมค่าติดตามทวงถามหนี้ ค่าเช็คคืน ค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น

สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank จะปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนให้ลูกหนี้  เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ปิดจบบัญชีได้ ซึ่งสถานะลูกหนี้ใน NCB จะถูกปรับเป็นรหัส 11 คือ ชำระหนี้หมดตามยอดที่ได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้

หนี้บุคคลธรรมดาทุกประเภท ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ

หากลูกหนี้มีคุณสมบัติครบถ้วน ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ และปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการ จะได้รับความช่วยเหลือทุกราย

มาตรการลดผ่อน ลดดอก : การปรับโครงสร้างหนี้แบบเน้นลดค่างวดและภาระดอกเบี้ย

มีผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เข้าร่วมมาตรการ ณ ปัจจุบัน ดังนี้ (หากมีผู้ประกอบธุรกิจเข้าร่วมโครงการเพิ่ม ธปท. จะแจ้งเพื่อทราบต่อไป)

1. บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)
2. บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)

  • ลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือเป็นระยะเวลา 3 ปี

(1) จ่ายค่างวดน้อยลง โดย
สินเชื่อแบบผ่อนชำระเป็นงวด (installment loan) เช่น สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์/รถจักรยานยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ (นาโนไฟแนนซ์) ให้ชำระ 70% ของค่างวดเดิม
สินเชื่อที่เป็นวงเงินหมุนเวียน (revolving credit) ซึ่งไม่มีการกำหนดการผ่อนชำระเป็นงวดๆ ไว้ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันประเภทบัตรกดเงินสด ให้แปลงเป็นสินเชื่อแบบผ่อนชำระรายเดือน โดยชำระ 2% ของยอดคงค้างสินเชื่อก่อนทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการนี้

(2) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 10% จากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิม โดยดอกเบี้ยส่วนที่ลดจะพักแขวนไว้ทั้งหมด

  •  หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ครบ 3 ปี ผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank จะยกดอกเบี้ยที่ลดและพักแขวนดังกล่าวให้ หลังสิ้นสุดโครงการ
  • ลูกหนี้สามารถจ่ายมากกว่าค่างวดที่กำหนดในสัญญาได้ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ทั้งนี้ เงินส่วนที่ชำระเกินค่างวดจะนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด

คุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการ

ลูกหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่ไม่ใช่บริษัทในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์

1. มีวงเงินรวมเป็นรายลูกหนี้ในแต่ละประเภทสินเชื่อกับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank แต่ละรายที่ร่วมมาตรการ ดังต่อไปนี้

ประเภทสินเชื่อวงเงินสินเชื่อรวมต่อ Non-bank
ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567
สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ (car for cash)ไม่เกิน 8 แสนบาท
สินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ (car for cash)ไม่เกิน 5 หมื่นบาท
สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันไม่เกิน 2 แสนบาท
สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลไม่เกิน 2 หมื่นบาท
สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ (นาโนไฟแนนซ์)ไม่เกิน 5 หมื่นบาท

2. เป็นสัญญาสินเชื่อที่ทำก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567

3. มีสถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

(1) หนี้ที่ค้างชำระมากกว่า 30 วัน จนถึง 365 วัน (นับจากวันครบกำหนดชำระ)
(2) เคยปรับโครงสร้างหนี้ (ปรับหนี้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 65) และเคยมีวันค้างชำระเกิน 30 วัน (นับจากวันครบกำหนดชำระ) แต่ปัจจุบันต้องไม่ค้างชำระหรือค้างไม่เกิน 30 วัน

คำนวณจากวงเงินของสินเชื่อแต่ละประเภทที่ลูกหนี้มีกับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank แต่ละแห่ง ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567

ตัวอย่าง:

  • ลูกหนี้มีสินเชื่อกับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank แห่งเดียวกัน 3 บัญชี ได้แก่ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 2 บัญชี (วงเงิน 5 แสนบาท และ 4 แสนบาท) และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน วงเงิน 1 แสนบาท สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์จะเข้าร่วมมาตรการไม่ได้ เพราะมีวงเงินรวมเกิน 8 แสนบาท แต่สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันเข้าร่วมมาตรการได้
  • ลูกหนี้มีสินเชื่อกับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank 2 แห่ง ได้แก่

o Non-bank 1: สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ วงเงิน 7 แสนบาท และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ วงเงิน 3 หมื่นบาท หนี้ทั้ง 2 ประเภทเข้าร่วมมาตรการได้
o Non-bank 2: สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ วงเงิน 8 แสนบาทเข้ามาตรการได้

  • ให้นับรวมวงเงินสินเชื่อ top up ด้วย แต่ไม่รวมวงเงินประกันคุ้มครองสินเชื่อ หรือ MRTA เพื่อมิให้ลูกหนี้ถูกตัดสิทธิ์เพียงเพราะมีการทำประกันเพื่อคุ้มครองความเสี่ยง
  • ทั้งนี้ เมื่อเข้าร่วมมาตรการแล้ว ให้ผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ปรับโครงสร้างหนี้โดยรวม MRTA ด้วย เนื่องจากอยู่บนหลักประกันเดียวกัน เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมาตรการที่ต้องการช่วยลูกหนี้กลุ่มเปราะบางให้สามารถแก้ไขหนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

 

ตัวอย่าง:

  • ลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 7 แสนบาท มีวงเงิน top up อีก 1 แสนบาท และมีวงเงิน MRTA อีก 2 หมื่นบาท สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ เพราะวงเงินรวมที่ไม่รวม MRTA ไม่เกิน 8 แสนบาท (7 + 1 = 8 แสนบาท) ทั้งนี้ ในการปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้จะนำ MRTA มารวมด้วย จึงทำให้ยอดหนี้ในการปรับโครงสร้างหนี้ คือ 8.2 แสนบาท
  • ลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 7.5 แสนบาท  มีวงเงิน top up อีก 1 แสนบาท และมีวงเงิน MRTA อีก 2 หมื่นบาท ลูกหนี้ไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ เพราะวงเงินรวมสินเชื่อและ top-up เกิน 8 แสนบาท (7.5 + 1 = 8.5 แสนบาท)
  • ลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 8 แสนบาท หลังจากที่ผ่อนชำระเหลือหนี้คงค้าง 6 แสนบาท และได้รับวงเงิน top up เพิ่มเติมก่อนวันที่ 31 ตุลาคม 2567 อีก 2 แสนบาท บนหลักประกันเดิม ลูกค้ารายนี้สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ เพราะวงเงินรวมของลูกหนี้อยู่ที่ 8 แสนบาท (6 + 2 = 8 แสนบาท)
  • ลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 8 แสนบาท หลังจากที่ผ่อนชำระเหลือหนี้คงค้าง 6 แสนบาท และได้รับวงเงิน top up เพิ่มเติมหลังวันที่ 31 ตุลาคม 2567 อีก 2 แสนบาท บนหลักประกันเดิม ลูกค้ารายนี้สามารถเข้าร่วมมาตรการได้เฉพาะวงเงิน 6 แสนบาท เนื่องจาก วงเงิน top-up 2 แสนบาท เกิดหลังวันที่ 31 ตุลาคม 2567

เข้าร่วมมาตรการได้ เพราะเป็นสินเชื่อที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท.

สินเชื่อบัตรเครดิตไม่จัดอยู่ในกลุ่มที่ได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการนี้ แต่ลูกหนี้สามารถติดต่อผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank เพื่อขอความช่วยเหลือด้วยแนวทางอื่นได้ เช่น มาตรการแก้หนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending หรือมาตรการแก้หนี้อื่น ๆ เช่น คลินิกแก้หนี้ by SAM

ไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ เพราะไม่เป็นสินเชื่อที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท.

ไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ เพราะไม่เป็นสินเชื่อที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท.

ไม่ได้ เพราะการเข้าร่วมมาตรการ พิจารณาจากวงเงินรวมเป็นรายลูกหนี้ต่อผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank แต่ละแห่ง 

เข้ามาตรการได้ทั้ง 2 สัญญา เพราะมาตรการนี้ต้องการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยกลุ่มเปราะบางที่มีสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์วงเงินรวมไม่เกิน 8 แสนบาท โดยหากลูกหนี้มีสินเชื่อบางบัญชีที่เข้าข่ายตามมาตรการนี้ ลูกหนี้สามารถนำสินเชื่อบัญชีอื่นในประเภทเดียวกันเข้ามาตรการนี้ได้ ทั้งนี้ สินเชื่อต้องเกิดขึ้นก่อน 1 มกราคม 2567

ได้ หากลูกหนี้มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด

ได้ หากลูกหนี้มีสินเชื่อกับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank และสถาบันการเงินแต่ละแห่งที่เป็นไปตามเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ

ได้ โดยผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank จะชะลอการฟ้องออกไปก่อน (แต่ไม่ได้ถอนฟ้อง) ในกรณีที่ลูกหนี้โดนยึดทรัพย์แล้ว แต่ทรัพย์ยังไม่ได้ถูกขายทอดตลาด/การขายทอดตลาดยังไม่สำเร็จ ลูกหนี้ที่เข้าข่ายตามคุณสมบัติของมาตรการสามารถเข้าร่วมมาตรการได้ แต่เมื่อเข้าร่วมมาตรการแล้วและไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรการได้ผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank จะเดินเรื่องในกระบวนการทางศาลต่อไป

หากสินเชื่อทั้งแบบกู้เดี่ยวและกู้ร่วมของลูกหนี้มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ ลูกหนี้สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ทั้ง 2 สัญญา

ตัวอย่าง:

กรณีนาย ก. มีสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์วงเงิน 8 แสนบาทกับผู้ประกอบธุรกิจ
Non-bank A (กู้เดี่ยว) ซึ่งมีวันค้างชำระ 270 วัน และนาย ก. กู้ร่วมกับนาง ข. มีสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์วงเงิน 7 แสนบาท (กู้ร่วม) ซึ่งมีวันค้างชำระ 90 วัน ลูกหนี้สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ทั้ง 2 สัญญา โดยผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank จะพิจารณาวงเงินกู้ร่วมและวงเงินกู้เดี่ยวแยกกัน 

สามารถเข้าร่วมมาตรการได้หากมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่กำหนด เพราะโครงการไม่มีข้อกำหนดเรื่องอายุผู้กู้

เงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ

  • ลูกหนี้ต้องลงทะเบียน (opt-in) ผ่านระบบกลางของ ธปท. ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo  ระหว่างวันที่ 12 ธันวาคม 2567 (เริ่ม 08.30 น.) – 30 มิถุนายน 2568 (สิ้นสุด 23.59 น.)  หรือติดต่อสาขาของผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เข้าร่วมมาตรการ
  • ลูกหนี้จะไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคใหม่กับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank และสถาบันการเงินอื่น ๆ ในช่วง 12 เดือนแรกที่เข้าร่วมมาตรการ โดยเจ้าหนี้ที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโร (NCB) จะรายงานสถานะลูกหนี้ไปยัง NCB

พิจารณาจากค่างวดล่าสุดก่อนทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการนี้

ตัวอย่าง: เดิมลูกหนี้จ่ายค่างวดที่ 10,000 บาท/เดือน ต่อมาลูกหนี้ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้และได้รับการลดค่างวดเหลือ 7,000 บาท/เดือน หากลูกหนี้เข้ามาตรการนี้ ค่างวดที่ต้องชำระในระหว่างเข้ามาตรการจะคิดจากค่างวดล่าสุดที่ 7,000 บาท ดังนั้น จะมีค่างวดขั้นต่ำที่ 4,900 บาท โดยลูกหนี้สามารถจ่ายชำระค่างวดสูงกว่านี้ได้ตามที่ตกลงกับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank เจ้าหนี้

ไม่ได้ ลูกหนี้ต้องผ่อนชำระค่างวดตามที่กำหนดไว้ เพราะวัตถุประสงค์ของมาตรการนี้มุ่งเน้นช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีโอกาสรอด และเพื่อให้มั่นใจว่าลูกหนี้จะสามารถกลับมาชำระหนี้ที่ 100% ของค่างวดเดิมได้ในปีที่ 4 หลังจบมาตรการ ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจยังคงมีมาตรการดูแลภายใต้หลักเกณฑ์ RL สำหรับลูกหนี้ที่ประสบปัญหาการชำระหนี้ซึ่งจะมีเงื่อนไขแตกต่างจากมาตรการนี้

ได้ โดยลูกหนี้สามารถเจรจากับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank เจ้าหนี้ เพื่อขอจ่ายค่างวด
สูงกว่าที่กำหนดได้

ได้ หากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้และเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาที่ตกลงไว้กับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank โดยผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank จะยกดอกเบี้ยที่ลดไว้ในช่วงที่ลูกหนี้เข้ามาตรการให้ (ทั้งนี้ ไม่รวมดอกเบี้ยที่แขวนก่อนเข้าร่วมมาตรการ)

ลูกหนี้จะได้รับความช่วยเหลือโดยลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 จากอัตราดอกเบี้ยก่อนเข้าร่วมมาตรการ และจ่ายชำระค่างวด 2% ของยอดคงค้างสินเชื่อก่อนทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการ

ตัวอย่าง: ลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน 50,000 บาท มียอดคงค้างเดิม 30,000 บาท

(1)  เมื่อเข้ามาตรการ ยอดคงค้าง 30,000 บาท จะถูกเปลี่ยนเป็นสินเชื่อแบบผ่อนชำระ (installment loan) และให้ลูกหนี้ผ่อนชำระขั้นต่ำเดือนละ 600 บาท (2% ของ 30,000 บาท) เป็นระยะเวลา 3 ปี (จ่ายชำระ 3 ปี เท่ากับ 21,600 บาท)
(2)  วงเงินส่วนที่ยังไม่ได้เบิกใช้ 20,000 บาท ผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank อาจพิจารณาให้ลูกหนี้สามารถใช้สภาพคล่องจากวงเงินส่วนที่เหลือได้ ตามเงื่อนไขของผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank แต่ละแห่ง กรณีผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ให้ลูกหนี้เบิกใช้วงเงินส่วนที่เหลือได้ ยอดหนี้ส่วนดังกล่าวไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้
(3) เมื่อสิ้นสุดมาตรการ หากลูกหนี้ยังมียอดหนี้คงเหลือ การผ่อนชำระหนี้ส่วนที่เหลือจะเป็นไปตามเงื่อนไขเดิมก่อนเข้าร่วมมาตรการ ทั้งนี้ หากลูกหนี้ไม่สามารถผ่อนชำระตามเงื่อนไขเดิมได้ ลูกหนี้สามารถติดต่อผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank เพื่อรับความช่วยเหลือด้วยแนวทางอื่นได้ เช่น มาตรการแก้หนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending หรือมาตรการแก้หนี้อื่น ๆ เช่น คลินิกแก้หนี้ by SAM

  • ลูกหนี้ที่ออกจากมาตรการ เนื่องจาก (i) ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ เช่น (1) ลูกหนี้ก่อหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคใหม่ก่อนระยะเวลา 12 เดือน หรือ (2) ลูกหนี้ค้างชำระหนี้จนกลายเป็น NPL และ (ii) ลูกหนี้ต้องการออกจากมาตรการก่อนกำหนด ซึ่งทั้ง 2 กรณี ผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank จะเรียกเก็บดอกเบี้ยกับลูกหนี้ในอัตรา 10% ของของดอกเบี้ยที่ลดและพักแขวนไว้ให้ในระหว่างที่เข้ามาตรการ ลูกหนี้ที่ออกจากมาตรการ เนื่องจาก (i) ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ เช่น (1) ลูกหนี้ก่อหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคใหม่ก่อนระยะเวลา 12 เดือน หรือ (2) ลูกหนี้ค้างชำระหนี้จนกลายเป็น NPL และ (ii) ลูกหนี้ต้องการออกจากมาตรการก่อนกำหนด ซึ่งทั้ง 2 กรณี ผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank จะเรียกเก็บดอกเบี้ยกับลูกหนี้ในอัตรา 10% ของดอกเบี้ยที่ลดและพักแขวนไว้ให้ในระหว่างที่เข้ามาตรการ
  • ลูกหนี้สามารถติดต่อผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank เพื่อขอความช่วยเหลือด้วยแนวทางอื่นของผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ได้ เช่น มาตรการแก้หนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending หรือมาตรการแก้หนี้อื่น ๆ เช่น คลินิกแก้หนี้ by SAM

ไม่ใช่ ลูกหนี้ต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตามความสมัครใจ (opt-in) ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank จะติดต่อลูกหนี้เพื่อเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการต่อไป

ไม่ใช่ ลูกหนี้จะได้ส่วนลดอัตราดอกเบี้ยตามมาตรการในช่วง 3 ปีแรกเท่านั้น หลังจากนั้น หากครบกำหนดโครงการแล้วลูกหนี้ยังมียอดหนี้เหลืออยู่ ลูกหนี้จะต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิมของลูกหนี้ 

ให้ลูกหนี้ติดต่อผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank เพื่อจัดเตรียมเอกสารหลักฐานที่ต้องใช้ในการปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการ โดยผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank อาจขอให้ลูกหนี้นำรถมาแสดงที่สำนักงาน/สาขา เพื่อยืนยันว่ารถยังมีอยู่จริงก่อนการปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการก็ได้ 

ลูกหนี้ต้องนำผู้กู้ร่วมหรือผู้ค้ำประกันมาร่วมลงนามในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการกับผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank

ประเด็นอื่น ๆ

กรณีลูกหนี้รายย่อย และ SMEs ทุกประเภท สามารถขอรับความช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้ได้ตามเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) คือ จะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้ง และหลังเป็นหนี้เสียอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ก่อนฟ้อง โอนขายหนี้ ยึดทรัพย์

กรณีลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับ ประเภทวงเงินหมุนเวียน เช่น บัตรกดเงินสด ที่ยังไม่เป็น NPL แต่ชำระดอกเบี้ยรวมมากกว่าเงินต้นรวมเป็นระยะเวลานาน (5 ปี) สามารถขอเข้ามาตรการปิดจบหนี้เรื้อรังได้ โดยสถาบันการเงินจะแปลงสินเชื่อจากวงเงินหมุนเวียน (revolving loan) เป็นสินเชื่อผ่อนชำระเป็นงวด (installment loan) ลดดอกเบี้ยเหลือไม่เกิน 15% ต่อปี และปิดจบหนี้ได้ภายใน 5 ปี (ธปท. ขยายระยะเวลาปิดจบหนี้จาก 5 ปีเป็น 7 ปี เริ่ม 1 มกราคม 68)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาตรการแก้หนี้ยั่งยืน

กรณีลูกหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลไม่มีหลักประกัน ที่เป็น NPL ค้างชำระมากกว่า 120 วัน ยอดหนี้ไม่เกิน 2 ล้านบาท สามารถขอเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ โดยลูกหนี้จะได้รับข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ในการรวมหนี้เสียจากทุกเจ้าหนี้ที่เข้าร่วมโครงการไว้ที่เดียว ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3-5% ต่อปี สำหรับดอกเบี้ยและค่าปรับค้างชำระเดิมก่อนเข้าโครงการ เจ้าหนี้จะยกให้เมื่อลูกหนี้ชำระได้ครบถ้วนตามสัญญา

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลินิกแก้หนี้ – DEBT หนี้บัตร หนี้บุคคล จบที่เดียว

  • Non-bank ที่เข้าร่วมโครงการได้ต้องผ่านการพิจารณาความเหมาะสมใน 2 มุมหลัก  คือ (1) มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่สามารถขอสินเชื่อ soft loan จากออมสิน และมีความพร้อมของระบบงานเพื่อรายงานข้อมูลการให้ความช่วยเหลือให้ ธปท. ได้ 
    (2) ลูกหนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะที่เหมาะสมกับแนวทางให้ความช่วยเหลือ (เช่น ประเภทสินเชื่อ ลักษณะการใช้วงเงิน)
  • ลูกหนี้ของ Non-bank ที่ไม่เข้าร่วมมาตรการ แต่ประสบปัญหาในการผ่อนชำระหนี้สามารถติดต่อเจ้าหนี้เพื่อรับความช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถของลูกหนี้แต่ละรายตามหลักเกณฑ์  Responsible Lending 

·     กรณีลูกหนี้รายย่อยภายใต้การกำกับทุกประเภท สามารถขอรับความช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) คือ จะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้ง และหลังเป็นหนี้เสียอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ก่อนฟ้อง โอนขายหนี้ ยึดทรัพย์

·        กรณีลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ประเภทวงเงินหมุนเวียน เช่น บัตรกดเงินสด ที่ยังไม่เป็น NPL แต่ชำระดอกเบี้ยรวมมากกว่าเงินต้นรวมเป็นระยะเวลานาน (5 ปี) สามารถขอเข้ามาตรการปิดจบหนี้เรื้อรังได้ โดยผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank
จะแปลงสินเชื่อจากวงเงินหมุนเวียน (revolving loan) เป็นสินเชื่อผ่อนชำระเป็นงวด (installment loan) ลดดอกเบี้ยเหลือไม่เกิน 15% ต่อปี และปิดจบหนี้ได้ภายใน 5 ปี (ธปท. ขยายระยะเวลาปิดจบหนี้จาก 5 ปีเป็น 7 ปี เริ่ม 1 มกราคม 2568)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาตรการแก้หนี้ยั่งยืน

·     กรณีลูกหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน
ที่เป็น NPL ค้างชำระมากกว่า 120 วัน ยอดหนี้ไม่เกิน 2 ล้านบาท สามารถขอเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ได้
โดยลูกหนี้จะได้รับข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ในการรวมหนี้เสียจากทุกเจ้าหนี้ที่เข้าร่วมโครงการไว้ที่เดียว ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3-5% ต่อปี สำหรับดอกเบี้ยและค่าปรับค้างชำระเดิมก่อนเข้าโครงการเจ้าหนี้จะยกให้เมื่อลูกหนี้ชำระได้ครบถ้วนตามสัญญา

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลินิกแก้หนี้ – DEBT หนี้บัตร หนี้บุคคล จบที่เดียว

ใช่ ลูกหนี้ควรรับทราบเงื่อนไขของมาตรการที่เพียงพอต่อการตัดสินใจก่อนลงนามในสัญญา เพราะลูกหนี้จะมีภาระผูกพันตามสัญญาในการชำระหนี้ ซึ่งลูกหนี้ต้องประเมินความพร้อมของตนเองในการเข้าร่วมมาตรการ

แม้ลูกหนี้จะไม่สามารถก่อหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มเติมได้ในระยะเวลา 12 เดือนแรก เเต่ลูกหนี้จะมีสภาพคล่องเพิ่มเติมจากค่างวดที่ได้ชำระลดลง เช่น หากเดิมลูกหนี้จ่ายค่างวดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ที่ 5,000 บาทต่อเดือน เมื่อเข้าร่วมมาตรการลูกหนี้จะชำระค่างวดเพียงแค่ 70% ของค่างวดเดิมเป็น 3,500 บาทต่อเดือน เท่ากับว่าในแต่ละเดือนลูกหนี้จะมีสภาพคล่องเพิ่มเติมเดือนละ 1,500 หรือ 18,000 บาทต่อปี

กรณีลูกหนี้ในมาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมตามมาตรการช่วยเหลือจากเหตุแผ่นดินไหวของสถาบันการเงิน จะไม่ถือว่าลูกหนี้ผิดเงื่อนไขของการเข้าร่วมมาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์

วิธีการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ

ลูกหนี้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการผ่านระบบกลางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo

ลูกหนี้สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 (เริ่ม 08.30 น.) ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 (สิ้นสุด 23.59 น.)

ข้อมูลที่ใช้และขั้นตอนการกรอกข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ลงทะเบียนของ ธปท.:

(1) อ่านรายละเอียดมาตรการในหน้าเว็บไซต์ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo  เพื่อตรวจสอบสถาบันการเงินและ Non-bank ที่เข้าร่วมโครงการ เงื่อนไขและคุณสมบัติในการเข้าร่วมมาตรการ  กดยืนยันคุณสมบัติ และกดลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ

(2) เตรียม ThaID เพื่อเข้าระบบและยืนยันตัวตน (ดูวิธีการลงทะเบียน ThaiD ได้ที่ ขั้นตอนการลงทะเบียน ThaID ด้วยตัวเอง)

(3) เข้าสู่ระบบ โดยสามารถทำได้ 2 แบบ คือ

   3.1 เข้าสู่ระบบผ่าน ThaID - ต้อง Scan ThaID ผ่านแอปพลิเคชัน (App) ทุกครั้งที่เข้ามาใช้ระบบ
   3.2 เข้าระบบผ่านอีเมล (e-mail) โดยยืนยันตัวตนผ่าน ThaID ครั้งแรกเท่านั้น

(4) กรอกข้อมูลเพิ่มเพื่อลงทะเบียนขอเข้าร่วมมาตรการ ดังนี้

   4.1  ข้อมูลส่วนบุคคล/นิติบุคคล

     - ข้อมูลส่วนบุคคลเบื้องต้นระบบจะดึงมาจาก ThaID

     - กรอกข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่ม ได้แก่ หมายเลขโทรศัพท์ (เพื่อรับการติดต่อจากสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้)  e-mail address (เพื่อส่ง e-mail เตือนแจ้งสถานะ) และจังหวัด (เพื่อเป็นข้อมูลสถิติ)

   4.2 กรอกข้อมูลหนี้

    - เลือกสถาบันการเงินและ Non-bank ที่เป็นเจ้าหนี้ และเลือกสินเชื่อที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ

    - กรณีเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะสอบถามความสนใจที่จะทำเรื่องรวมหนี้หรือไม่

    - กรณีที่ต้องการลงทะเบียนหลายผลิตภัณฑ์ สามารถกดเพิ่มผลิตภัณฑ์ได้

(5) กดยอมรับเงื่อนไขการใช้บริการ และกดส่ง ระบบจะขึ้นข้อความการลงทะเบียนสำเร็จและแสดงหมายเลขคำร้องเพื่อให้ลูกหนี้ใช้ติดตามสถานะการลงทะเบียน

(6) หลังการลงทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว สถาบันการเงินและ Non-bank จะได้รับข้อมูลทันทีโดยอัตโนมัติ และ สถาบันการเงินและ Non-bank จะเริ่มทยอยติดต่อกลับลูกหนี้ภายใน 10 วันทำการหลังลงทะเบียนสำเร็จ

ลูกหนี้ต้องยืนยันตัวตนผ่าน ThaID ก่อนการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ

ให้ลูกหนี้ที่กู้ร่วมเพียงคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ลงทะเบียน (ไม่ต้องลงทะเบียนทุกคน) โดยเจ้าหนี้จะติดต่อลูกหนี้และผู้กู้ร่วม หากมีคุณสมบัติตามที่กำหนดเพื่อเข้าร่วมมาตรการต่อไป

- กรณีเบอร์โทรติดต่อผิด สามารถส่งข้อความผ่านระบบเพื่อแจ้งเบอร์โทรติดต่อที่ถูกต้องให้แก่สถาบันการเงินได้

- กรณีชื่อเจ้าหนี้ผิด สามารถยกเลิกคำร้องที่ผิด และยื่นคำร้องสำหรับเจ้าหนี้ใหม่

- กรณีเลือกประเภทสินเชื่อผิด เมื่อเจ้าหนี้ติดต่อกลับ สามารถแจ้งกับเจ้าหนี้เพื่อขอเปลี่ยนประเภทสินเชื่อได้โดยตรง

สถาบันการเงินจะติดต่อลูกหนี้กลับภายใน 10 วันทำการหลังลงทะเบียนสำเร็จ

ลูกหนี้สามารถเรียกดูสถานะการดำเนินการผ่านเว็บไซต์ ธปท. ได้ที่ https://services.bot.or.th/cpm โดยเลือกเมนูตรวจสอบสถานะคำร้อง บริการแก้หนี้ และเลือกหมายเลขคำร้องที่ได้รับหลังลงทะเบียนสำเร็จ

ลูกหนี้สามารถกดปุ่ม reject ในระบบ เพื่อปฏิเสธผลการพิจารณาได้ โดยเรื่องจะถูกส่งกลับให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้พิจารณาใหม่อีกครั้ง (ลูกหนี้สามารถปฏิเสธผล
การพิจารณาได้ 2 ครั้ง)

ไม่มีค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ ดังนั้น อย่าหลงเชื่อหรือโอนเงินหากมีผู้มาติดต่อให้ลูกหนี้ต้องชำระค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด 

ลูกหนี้สามารถติดต่อได้ที่สาขาหรือ call center ของสถาบันการเงินที่ลงทะเบียน กด 99 และหากไม่ได้รับความช่วยเหลือ สามารถติดต่อ 1213 ในวันและเวลาทำการ

ลูกหนี้สามารถขอคำแนะนำได้ที่สาขา หรือ call center ของสถาบันการเงินเพื่อช่วยเหลือ/อำนวยความสะดวกในการลงทะเบียน