การกำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์

Media Briefing | 16 ธันวาคม 2568

Media Briefing

การกำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่ง

รถยนต์และรถจักรยานยนต์ 

ส่วนที่ 1 : แนวทางและหลักเกณฑ์กำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์

  • ธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับประชาชน โดยมีปริมาณธุรกรรมค่อนข้างสูง ซึ่งมีนัยต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและกระทบประชาชนในวงกว้าง ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายควบคุมการประกอบธุรกิจดังกล่าวเป็นการเฉพาะ ภาครัฐจึงออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2568 โดยให้อำนาจ ธปท. เป็นหน่วยงานกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งที่มิใช่สถาบันการเงิน (ไม่รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นบุคคลธรรมดา สหกรณ์แท็กชี่ และนิติบุคคลอื่นซึ่งรัฐมนตรีจะมีประกาศกำหนด)

 

  • เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ธปท. ได้ออกประกาศ เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เพื่อยกระดับการให้บริการทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ภายใต้การกำกับของ ธปท. (ผู้ประกอบธุรกิจฯ) ให้มีความรับผิดชอบ เป็นธรรม และโปร่งใส เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่เป็นมาตรฐาน ตรงกับความต้องการ และได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อย่างครบถ้วน ภายใต้ราคาและเงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมถึงได้รับการดูแลช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาในการชำระหนี้ ตลอดจนมีช่องทางการร้องเรียนปัญหา และได้รับการดูแลแก้ปัญหาอย่างเป็นธรรม ขณะเดียวกัน การกำกับดูแลดังกล่าวจะช่วยให้ ธปท. ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินได้ดีขึ้น โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งหลักเกณฑ์ประกอบด้วย 5 เรื่อง ดังนี้
graph
  • ขอบเขตและวันบังคับใช้หลักเกณฑ์ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

o หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้งเรื่องการปฏิบัติและการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ ประเภทของค่าบริการที่เรียกเก็บได้ ลำดับการตัดชำระหนี้ การระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับการปิดบัญชี/ยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด การให้บริการทางการเงินอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม และการใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอก จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2569 เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อลีสซิ่งฯ สามารถเตรียมความพร้อมและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและราบรื่น

o หลักเกณฑ์เรื่องเพดานอัตราดอกเบี้ย การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ และการได้รับส่วนลดการปิดบัญชีก่อนกำหนด สำหรับการให้เช่าซื้อแก่บุคคลธรรมดาเพื่อใช้ส่วนตัว จะบังคับใช้กับสัญญาใหม่ที่จัดทำขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป เท่านั้น

 

  • ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจรายเดิมที่ให้เช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทุกแห่ง ซึ่งประกอบธุรกิจก่อนวันที่ 3 ธันวาคม 2568 (ยกเว้นสถาบันการเงิน และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ สหกรณ์แท็กซี่) มีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลเพื่อแสดงตัวตนต่อ ธปท. ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2569 ส่วนผู้ประกอบธุรกิจรายใหม่ที่ประกอบธุรกิจตั้งแต่ 3 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ให้รายงานข้อมูลเพื่อแสดงตัวตนภายใน 120 วัน นับจากวันจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยหากไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย 

วิธีการรายงานข้อมูล

ส่วนที่ 2 : การขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งที่มิใช่สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

 

  • เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ธปท. ได้ออกหนังสือเวียนเพื่อขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งที่มิใช่สถาบันการเงิน[1] พิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สาธารณภัย รวมถึงสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ในด้านเงินทุนและสภาพคล่อง เพื่อให้ลูกหนี้สามารถประกอบอาชีพหรือดำเนินธุรกิจหรือเพื่อใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินเป็นการส่วนตัวต่อไปได้ รวมทั้งดูแลให้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความจำเป็นของลูกหนี้ โดยให้พิจารณาอนุมัติความช่วยเหลือให้แล้วเสร็จไม่เกิน 12 เดือน[2]

 

  • นอกจากนี้ ในช่วงระยะเวลาที่ช่วยเหลือ ขอให้ผู้ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งที่มิใช่สถาบันการเงิน ไม่เรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัด ค่าบริการ เบี้ยปรับ หรือค่าใช้จ่ายอื่นใดเพิ่มเติมจากลูกหนี้ และในการเรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยที่คิดคำนวณในช่วงให้ความช่วยเหลือ ให้ใช้วิธีที่จะไม่ก่อให้เกิดภาระกับลูกหนี้มากจนเกินไป และไม่เรียกเก็บเป็นเงินก้อนในครั้งเดียวเมื่อสิ้นระยะเวลาให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้ การขอความร่วมมือข้างต้นสอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกับผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับของ ธปท.[3] ในปัจจุบัน

 


[1] สำหรับสถาบันการเงินและบริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงิน ให้อ้างอิงแนวทางจากหนังสือเวียน ที่ ธปท.ฝนส.(01)ว. 601/2567 เรื่อง ขอความร่วมมือให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย ลงวันที่ 30 ส.ค. 2567
[2] สำหรับสาธารณภัย ให้นับจากวันที่ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยตามกฎหมาย หรือการแจ้งระดับสถานการณ์สาธารณภัยเป็นระดับ สีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 และสำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ให้นับจากวันที่ 25 ก.ค. 2568
[3] ได้แก่ สถาบันการเงิน (สง.) และบริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของ สง. / สถาบันการเงินเฉพาะกิจ / ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่ สง. / ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่ สง. / ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลที่มิใช่ สง. / ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพที่มิใช่ สง.

ธุรกิจเช่าซื้อลีสซิ่ง