สุนทรพจน์งานสัมมนาประจำปี 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หัวข้อ “แก้หนี้เกษตรอีสานอย่างไร ให้ยั่งยืน”
วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ธปท. สภอ.) ได้จัดงานสัมมนาประจำปี 2567 หัวข้อ “แก้หนี้เกษตรอีสานอย่างไร ให้ยั่งยืน” ในวันอังคารที่ 9 กรกฎาคม 2567 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้อง Convention 2-3 โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดขอนแก่น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาซึ่งประกอบด้วย ภาคธุรกิจ ภาคเกษตร สถาบันการเงิน การศึกษา หน่วยงานราชการ และประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ได้รับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของคนอีสาน ตลอดจนรับฟังมุมมองเกี่ยวกับหนี้เกษตรกรซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดรั้งการพัฒนาภาคเกษตรและเศรษฐกิจอีสานโดยรวม เพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด มีประสิทธิผล และยั่งยืน โดยงานสัมมนาแบ่งเป็น 5 ช่วง ในช่วงแรกได้รับเกียรติจาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวสุนทรพจน์ ในหัวข้อ “การเงินกับความกินดีอยู่ดีของคนอีสาน” โดยสรุปประเด็นได้ดังต่อไปนี้
1) รายได้คนต้องเพียงพอสำหรับรายจ่ายโดยรวม แม้ในระยะสั้นรายได้อาจน้อยกว่ารายจ่ายบ้างเป็นครั้งคราว
โดยอาจจะต้องนำเงินออมที่มีออกมาใช้หรือกู้ยืมบ้าง แต่ในระยะยาว ถ้าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีพอต้องมีรายได้มากกว่ารายจ่าย
o ในภาพรวมประเทศ รายได้ของประเทศโตช้าลง ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เดิมที่เคยอยู่ที่ 4-5% ช่วงหลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งประสิทธิภาพแรงงานที่ไม่ค่อยโต ควบคู่กับอัตราการเติบโตของแรงงานที่ชะลอลง จึงเห็นศักยภาพของไทยจริง ๆ จะอยู่แค่ประมาณ 3% ความหมายของศักยภาพในที่นี้ หมายถึง เราผลิตได้เท่าไหร่ บางช่วงเศรษฐกิจดี อาจโตสูงกว่านั้นได้ แต่ท้ายที่สุด ถ้าศักยภาพการผลิตยังได้เท่านี้ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจก็จะอยู่ที่ประมาณ 3% ซึ่งสูงไม่พอ เพราะ 3% เป็นอัตราการเติบโตในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น เกาหลีใต้ แต่รายได้ของไทยยังไม่สูง จึงจำเป็นต้องมีการเติบโตในระยะยาวที่สูงกว่านี้
o อีกปัญหา คือ ถ้าดูว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ ประโยชน์ตกที่ไหน จะเห็นว่ามีการกระจุกตัว ถ้าดูแนวโน้มระยะยาว แล้วดูว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตเท่าไหร่ การเติบโตของรายได้แรงงานจะช้ากว่าการเติบโตของกำไรบริษัท และกระจุกตัวในแง่ของกลุ่มด้วย กลุ่มรายได้สูงจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่มากกว่า เห็นได้จาก 40%[1] ของการบริโภคที่โตในปี 2566 มาจากการบริโภคเพียง 10% ของกลุ่มที่มีรายได้สูง สะท้อนความฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง ทั้งในแง่ครัวเรือนและภายในกลุ่มธุรกิจเองก็ไม่ทั่วถึง ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นเชิงโครงสร้างและวัฏจักรที่เปลี่ยนแปลงไป เผชิญกับแข่งขันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากจีน
o ด้านครัวเรือนภาคอีสาน รายได้โตช้า ไม่พอสำหรับรายจ่ายเช่นกัน มีส่วนต่างรายได้รายจ่ายต่อเดือนเป็นลบ โดยรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนอีสานน้อยกว่ารายจ่าย 5,396 บาทต่อเดือน ซึ่งมีส่วนต่างรายได้รายจ่ายเป็นลบมากกว่าทุกภาค[2] นอกจากนี้ ครัวเรือนในภาคอีสานพึ่งพาเงินช่วยเหลือมากที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น[3] ที่ 5,024 บาทต่อเดือน แรงงานกว่า 50% อยู่ในภาคเกษตร[4] พึ่งพารายได้เพียงรอบเดียวต่อปี เพราะมีสัดส่วนการปลูกพืชไร่ที่มีรอบการเพาะปลูกเป็นรายปีสูง โดยเฉพาะข้าว[5] ผลผลิตขึ้นอยู่กับฟ้าฝน มีสัดส่วนภาคเกษตรที่อยู่ในเขตชลประทาน เพียง 5%[6] และผลิตภาพต่ำ โดยผลผลิตต่อไร่[7] ในปี 65 ไทย 478 กก./ไร่ เวียดนาม 963 กก./ไร่ อินเดีย 677 กก./ไร่
2) หนี้สินต้องน้อยกว่าสินทรัพย์
o ในภาพรวมประเทศ ครัวเรือนมีภาระหนี้สูง สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ไตรมาส 1 ปี 67 อยู่ที่90.8% และที่น่าเป็นห่วงที่ทำให้การแก้ปัญหายากกว่าประเทศอื่น คือ สัดส่วนของหนี้ที่ไม่ได้สร้างรายได้และไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง เช่น หนี้ส่วนบุคคลและหนี้บัตรเครดิต สูงถึง 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือน ขณะที่ประเทศอื่น หนี้หลักคือการกู้ซื้อบ้าน ซึ่งข้อดี คือ หากราคาบ้านเพิ่มขึ้น ฐานะการเงินโดยรวมจะไม่แย่ เพราะสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าหนี้ที่มี
o ด้านภาคครัวเรือนเกษตร หนี้ของครัวเรือนเกษตรน่าเป็นห่วงกว่ากลุ่มอื่น โดยเฉพาะเกษตรกรในภาคอีสาน เป็นที่มาของสัมมนาในวันนี้ ที่ช่วงต่อ ๆ ไปจะมาขยายความให้ชัดเจน ทั้งเรื่องหนี้ก้อนโต หนี้โตเร็ว หนี้หลายแหล่ง มีภาระดอกเบี้ยสูง และติดในวงจรหนี้ไม่สามารถปิดจบหนี้ได้
สุดท้ายขอฝากไว้ว่า องค์ประกอบสำคัญในการที่จะแก้หนี้ได้อย่างยั่งยืน ต้องดูให้ครบในทุกมิติ คือ มิติรายจ่าย รายได้ และสุดท้ายคือการดูแลเรื่องของหนี้
สุนทรพจน์หัวข้อ "การเงินกับความกินดีอยู่ดีของคนอีสาน"
สัมมนาประจำปี 2567 ธปท. สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อ้างอิง
[1] สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และแบบสำรวจจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ (SES) ปี 66 คำนวณโดย ธปท.
[2] ครัวเรือนภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาพรวมประเทศมีรายได้เฉลี่ยน้อยกว่ารายจ่าย 5,396 บาท 3,112 บาท 1,499 บาท 2,663 บาท ตามลำดับ คำนวณจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ (SES) ปี 66 โดยรายได้เป็นรายได้ที่มาจากการทำงานหรือการผลิต
[3] เงินช่วยเหลือภาคอีสาน 5,024 บาท เหนือ 4,218 ใต้ 2,864 ประเทศ 3,794 จากข้อมูล SES ปี 66
[4] 53% ของแรงงานภาคอีสานทั้งหมดอยู่ในภาคเกษตร เหนือ 46% ใต้ 40% ประเทศ 30% จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 66 และการคำนวณของ ธปท.
[5] สัดส่วนรายได้เกษตรกรภาคอีสาน ปี 66 ข้าว 40% มัน 10% อ้อย 10% ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) และการคำนวณของ ธปท.
[6] สัดส่วนภาคเกษตรที่อยู่ในเขตชลประทาน ภาคอีสาน 5% เหนือ 44% ใต้ 14% กลาง 39% จากกรมชลประทาน ปี 64
[7] ที่มา: FAOSTAT