วิกฤติเศรษฐกิจเอเชียในปี 2540 ทำให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเสริมสร้างความร่วมมือทางการเงินให้แน่นแฟ้นขึ้น โดยมีแนวคิดริเริ่มและกลไกต่างๆ เพื่อป้องกันและแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
ในปี 2542 รัฐบาลของ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน ร่วมกับ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งเรียกกลุ่มประเทศนี้ว่า "อาเซียน+3" ได้เห็นชอบร่วมกันโดยตกลงที่จะเสริมสร้าง "กลไกช่วยเหลือซึ่งกันและกัน" ("self-help and support mechanism") และต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ได้ประชุมที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้ตกลงจัดตั้งโครงการการให้ความช่วยเหลือทางการเงินระดับภูมิภาค หรือที่เรียกว่า "มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative: CMI)" เพื่อเป็นกลไกความร่วมมือทางการเงินในภูมิภาค (Regional Financing Arrangement) ในรูปแบบการทำความตกลงแลกเปลี่ยนเงินตราทวิภาคีระหว่างประเทศสมาชิก (Network of Bilateral Swap Arrangements: BSAs
ต่อมาในปี 2550 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 ได้เห็นชอบร่วมกันในการพัฒนามาตรการริเริ่มเชียงใหม่จากความร่วมมือแบบทวิภาคี ไปสู่รูปแบบพหุภาคี ในชื่อ "มาตรการริเริ่มเชียงใหม่พหุภาคี" (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) โดยมีการจัดตั้งกองทุน CMIM เพื่อเป็นกลไกความร่วมมือทางการเงินในภูมิภาค ในการเสริมสภาพคล่องระหว่างกันในกรณีที่ประสบปัญหาดุลการชำระเงินหรือขาดสภาพคล่องในระยะสั้น และเป็นส่วนเสริมความช่วยเหลือด้านการเงินที่ได้รับจากองค์กรการเงินระหว่างประเทศ สำหรับรูปแบบการจัดตั้งกองทุน CMIM นั้น จะเป็นรูปแบบ Self-managed Reserved Pooling Arrangement (SRPA) คือ ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศจะร่วมสมทบเงินก็ต่อเมื่อมีประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาแจ้งขอรับความช่วยเหลือ
นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ยังได้เล็งเห็นปัญหาการพึ่งพาแหล่งเงินตราต่างประเทศระยะสั้นจากภายนอกในช่วงวิกฤติ จึงได้หันมาพัฒนาตลาดพันธบัตรในภูมิภาค เพื่อเพิ่มช่องทางในการระดมทุน ดังนั้น จึงมีการจัดตั้งมาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) ในเดือนสิงหาคม 2546 ซึ่งเป็นโครงการที่เน้นการออกพันธบัตรสกุลท้องถิ่นและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาดพันธบัตร รวมถึงเพิ่มอุปสงค์ อุปทาน ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และ ปรับปรุงด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง