ประโยชน์การลงทุนการศึกษา: สร้างอาชีพ ความเท่าเทียมทางรายได้ และการเติบโตอย่างยั่งยืน
"UNESCO คาดการณ์ว่าหากสอนนักเรียนทุกคนในประเทศกำลังพัฒนาให้อ่านออกเขียนได้
จะสามารถลดจำนวนคนยากจนทั่วโลกได้ถึง 171 ล้านคน "
ในทางเศรษฐศาสตร์ โมเดล Endogenous growth[2] อธิบายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวที่เกิดจากปัจจัยภายใน เช่น การพัฒนาทุนมนุษย์ คือ การเพิ่มความรู้และทักษะให้แรงงานซึ่งมีผลดีต่อการเพิ่มปริมาณและคุณภาพของงานได้มาก จนสามารถหักล้างผลของการลดน้อยถอยลงของผลผลิตหน่วยสุดท้าย และอัตราการเสื่อมของทุนทางกายภาพ เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์ และคอมพิวเตอร์ หากประเทศใดยิ่งมีสัดส่วนของทุนมนุษย์ต่อทุนกายภาพสูง ก็จะยิ่งสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น รวมทั้งการศึกษาที่สูงขึ้นยังช่วยสร้างแรงงานที่สามารถผลิตนวัตกรรมได้เอง ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลิตภาพของแรงงานขั้นพื้นฐานได้ด้วย
ผลวิจัยของ UNESCO ในปี 2557[3] คาดการณ์ว่าหากสอนนักเรียนทุกคนในประเทศกำลังพัฒนาให้อ่านออกเขียนได้ จะสามารถลดจำนวนคนยากจนทั่วโลกได้ถึง 171 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าการศึกษายังมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศ
ประโยชน์ของการลงทุนทางการศึกษา[3] [4] [5] มีหลายมิติทั้งต่อแรงงานคือ ทำให้มีโอกาสเลือกงานที่เหมาะสมกับความชอบและความถนัด และมีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนย้ายแรงงานทั้งระหว่างบริษัทและภาคเศรษฐกิจ ผลประโยชน์ต่อนายจ้างคือ ช่วยเพิ่มผลิตภาพของบริษัทและทำให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ส่วนผลประโยชน์ต่อสังคมคือ ทำให้เกิดการเลื่อนสถานะทางสังคม (Social mobility) เช่น การที่คนรุ่นพ่อแม่มีการศึกษาสูงจะทำให้คนรุ่นลูกได้รับการศึกษาสูงขึ้นด้วยเพราะครอบครัวเห็นความสำคัญของการศึกษา ทำให้คนรุ่นต่อมามีหน้าที่การงานและรายได้ที่มั่นคง ลดปัญหาความยากจนและปัญหาอาชญากรรมได้
นอกจากนี้ การศึกษายังมีส่วนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความเท่าเทียม ทั้งในการออกความเห็นในสังคม การเรียกร้องสิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมทางเพศ สังเกตได้จากคนรุ่นใหม่ที่กล้าแสดงความคิดเห็นและมีจุดยืนเป็นของตัวเอง
คุณภาพการศึกษาไทยเทียบกับนานาชาติเป็นอย่างไร?
"ไทยลงทุนทางการศึกษาจำนวนไม่น้อย ใกล้เคียงกับมูลค่าการลงทุนในประเทศพัฒนาแล้ว
แต่ถ้าดูคุณภาพการศึกษา พบว่าไทยทำคะแนนการสอบวัดความรู้นักเรียนนานาชาติ (PISA)
ได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD"
ไทยลงทุนทางการศึกษาจำนวนไม่น้อยถึง 6.2% ของ GDP เป็นสัดส่วนใกล้เคียงกับมูลค่าการลงทุนในประเทศพัฒนาแล้วทั้งในออสเตรเลีย (5.8%) เบลเยี่ยม (5.8%) สหรัฐฯ (6.0%) และ สหราชอาณาจักร (6.2%) ขณะที่ค่าเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) อยู่ที่ 5.0% โดยนอร์เวย์เป็นประเทศที่ลงทุนทางการศึกษาสัดส่วนสูงที่สุดในกลุ่ม OECD อยู่ที่ 6.5% ของ GDP แต่ถ้าดูคุณภาพการศึกษา พบว่าคะแนนเฉลี่ยผลประเมิน PISA ของประเทศกลุ่ม OECD[6] ด้านคณิตศาสตร์ 488 คะแนน วิทยาศาสตร์ 489 คะแนน และการอ่าน 489 คะแนน สูงกว่าคะแนน PISA ของไทยที่มีคะแนนคณิตศาสตร์ 419 คะแนน วิทยาศาสตร์ 426 คะแนน และการอ่าน 393 คะแนน ทั้ง ๆ ที่ไทยมีสัดส่วนการจัดสรรทรัพยากรลงทุนทางการศึกษาสูงกว่าของ OECD
รีเทิร์นการลงทุนการศึกษาของไทย: ไม่น้อยหน้าชาติใด
"การลงทุนในการศึกษาไทยให้ประโยชน์ทางการเงินในระดับน่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีปัญหาด้านการบริหารจัดการการลงทุนเพื่อการศึกษา "
ผลการศึกษาผลตอบแทนการลงทุนโดยใช้วิธี Cost-Benefit Analysis[7] จากกรณีศึกษาโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง: สร้างคน สร้างโอกาส สร้างงาน[8] ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และมีสมมุติฐานว่ากระแสรายได้ของผู้รับทุนคำนวณตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงเกษียณอายุ และเงินเดือนที่ได้กลุ่มวิชาชีพด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) ในสาขาวิชาหลัก 10 อุตสาหกรรม S-Curve ที่รัฐบาลสนับสนุนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ขณะที่ต้นทุนใช้ข้อมูลอ้างอิงจากค่าใช้จ่ายการให้ทุนทั้งส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำคือ งบกลางที่ใช้พัฒนาสถานศึกษา และค่าใช้จ่ายแปรผันที่มอบให้ต่อหน่วยผู้รับทุนหรือต่อสถานศึกษา
พบว่ารายได้โครงการมูลค่า 136,100 ล้านบาท คิดเป็นรายได้โครงการปัจจุบันสุทธิ (NPV) ประมาณ 28,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return: IRR) เท่ากับ 9.8% ใกล้เคียงกับงานศึกษาของไทยในอดีตที่ 7.5% - 9.5% (พลับพลึง, 2019)[9] ซึ่งถือว่าไม่น้อยหน้าชาติใด โดยค่าเฉลี่ยของ OECD อยู่ที่ 17%[10] โดยสูงสุดคืออิสราเอล (40%) รองลงมาคือ ตุรกี (36%) และไอร์แลนด์ (32%) ตามลำดับ
ภาพแสดงอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) การลงทุนทางการศึกษา:
กรณีศึกษาโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพขั้นสูง เมื่อคำนวณจากรายได้โครงการฯ
จะเห็นว่าการลงทุนในการศึกษาไทยให้ประโยชน์ทางการเงินในระดับน่าพอใจ อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีปัญหาด้านการบริหารจัดการการลงทุนเพื่อการศึกษา รวมถึงโจทย์ท้าทายโดยเฉพาะปัญหาช่องว่างระหว่าง “โลกการศึกษา” และ “โลกการทำงาน” ที่กว้างมาก ซึ่งเป็นต้นทุนในอนาคตของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงควรพิจารณาขับเคลื่อนการศึกษาไทยโดยมียุทธศาสตร์ระดับมหภาคที่เน้นความคุ้มค่าของการลงทุนทางการศึกษาทั้งในเชิงการเงินและเชิงคุณภาพ รวมถึงจัดการการศึกษาเชิงพื้นที่ เพื่อเพิ่มเติมทักษะที่จะตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น ๆ ด้วยการพัฒนานวัตกรรมและหลักสูตรที่หลากหลายที่สามารถเชื่อมโลกการทำงานและการศึกษาเข้าด้วยกัน เพื่อจะได้ก้าวข้ามการศึกษาแบบ “เสื้อโหล” มาสู่การเรียนรู้แบบ “เสื้อสั่งตัด” [11] สักที
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
>>