นายสุพริศร์ สุวรรณิกสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์



เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนได้รับเกียรติร่วมรับประทานอาหารและพบปะพูดคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงตลาดเงินตลาดทุนและเป็นที่เคารพนับถือในวงการการเงินไทย ส่วนหนึ่งจากการให้ข้อคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ชวนให้รัฐบาลแต่ละสมัยได้ฉุกคิดและลงมือทำอยู่เสมอ ในการพูดคุยครั้งนี้ ท่านได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะด้านเศรษฐกิจ เลยขอถือโอกาสนำมาถ่ายทอดและชวนท่านผู้อ่านมาคิดตามกัน จากข้อสังเกตของท่านตลอดเวลาที่ได้ท่องยุทธจักรเศรษฐกิจการเงินไทยมาเกือบ 50 ปี และการตกผลึกจากหลักคิดที่เชื่อมั่นในระบบทุนนิยมอย่างแรงกล้า เมื่อมองย้อนกลับไป ไม่ว่าจะเป็นสมัยการเมืองพรรคใด ไม่ว่าจะอยู่ในสมัยการปกครองประชาธิปไตยแบบ (ใกล้เคียง) เต็มใบ ครึ่งใบ หรือภายใต้ยุครัฐประหาร ในสายตาของผู้ใหญ่ท่านนี้ นโยบายเศรษฐกิจที่มีประสิทธิผลและมีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของประเทศไทย มีอยู่หลายนโยบาย แต่จะขอยกตัวอย่างในที่นี้ 4 นโยบาย/โครงการ ด้วยกัน ได้แก่

1. นโยบาย “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก”: ชื่อนโยบายคุ้นหูที่บ่งบอกในตัวเองอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้มีความเจริญไปทั่วเมืองและชนบท ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504 - 2509) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนเป็น ”แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” และเป็นแม่แบบของแผนอื่น ๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ผู้เขียนได้กลับไปศึกษาประวัติศาสตร์เพิ่มเติมและพบว่านโยบายนี้ถือเป็นหนึ่งในผลงานเด่นสมัยจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นนโยบายที่ริเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนการนำเข้า ส่งเสริมการลงทุนและเร่งพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เพื่อป้องกันภัยจากการแพร่หลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงนั้นเป็นสำคัญ

2. โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard): เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทราให้เต็มไปด้วยนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ติดกับอ่าวไทย ซึ่งเป็นช่องทางเข้าออกสำคัญในการส่งสินค้าทางทะเล และสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งจ้างงานและวัตถุดิบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นโครงการต้นแบบในการพัฒนา Eastern Economic Corridor หรือ EEC ในปัจจุบันนั่นเอง โครงการนี้เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2525 ตั้งแต่สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 – 2529) ทั้งนี้ Eastern Seaboard เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ GDP ของไทยในช่วงระยะเวลา 10 ปี คือตั้งแต่ปี 2528 ถึง 2538 มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในปริมาณมหาศาล (ประจวบเหมาะพอดีกับช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเน้นการออกไปลงทุนในต่างประเทศ จากผลกระทบของข้อตกลง Plaza Accord [1] ที่ทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น โดยหากผลิตสินค้าในญี่ปุ่น จะมีราคาแพง นักธุรกิจญี่ปุ่นจึงออกนอกประเทศไปสร้างโรงงานการผลิตในประเทศอื่น ๆ ที่มีศักยภาพแทน รวมถึงไทย) ถึงขนาดที่ทำให้ไทยได้รับการกล่าวถึงในช่วงนั้นว่าจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ตามหลังแค่ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวันเท่านั้น

3. การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ: หลังจากช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 หนึ่งในมาตรการที่เห็นผลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ชัดเจนคือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ตามการออกพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ในรัฐบาลสมัยคุณชวน หลีกภัย (อันที่จริงเคยถูกระบุไว้ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 แต่ไม่ได้มีการดำเนินการอย่างจริงจัง) ซึ่งต่อมามีหลายรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการสำเร็จ สร้างผลกำไรให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น และทำให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงานสูงขึ้น (แม้จะมีบางรายเกิดปัญหาขาดทุนและต้องเร่งปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจต่อไป)

4. การเปิดเสรีการบิน: นโยบายนี้ได้ปรากฎให้เห็นชัดในสมัยคุณทักษิณ ชินวัตร ประมาณปี พ.ศ. 2547 เพื่อมุ่งส่งเสริมให้สายการบินต่างชาติสามารถขยายบริการมายังจุดต่าง ๆ ในไทยได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถขนส่งผู้โดยสารออกจากไทยไปยังประเทศที่สามได้มากขึ้นด้วย หากไม่นับกรณีอื้อฉาวที่เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว นโยบายนี้ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการบินโดยเพิ่มการแข่งขัน สร้างประโยชน์ให้แก่การท่องเที่ยวไทยอย่างก้าวกระโดด และลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศได้มาก

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน มีด้านดีก็มีด้านเสีย การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจก็เช่นกัน อาทิ การพัฒนาโครงการ Eastern Seaboard ที่สร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการเบียดบังสิทธิของประชาชนทั้ง 3 จังหวัดก่อนมาเป็นนิคมอุตสาหกรรม หรือการเปิดเสรีการบินที่อาจต้องพิจารณาประเด็นด้านความมั่นคงของประเทศอย่างระมัดระวังด้วย ดังนั้น ภาครัฐจึงควรชั่งน้ำหนักระหว่างด้านดีกับด้านเสียในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ อย่างรอบคอบ และให้เหมาะสมกับบริบทในแต่ละช่วงเวลา

โดยสรุป เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่า ไม่ว่ายุคสมัยใด มักจะมีนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นดาวเด่นของยุคอยู่เสมอ และเป็นที่น่าสังเกตว่านโยบายที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน มักเป็นนโยบายในเชิงพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจ ส่งเสริมการแข่งขันและยกระดับศักยภาพการผลิตที่ไม่ได้อิงกับผลลัพธ์ในระยะสั้นเท่านั้นครับ!


บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย


[1] Plaza accord เป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2527) ระหว่างกลุ่มประเทศ G5 คือ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น โดยจะควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนให้เงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนและเงินดอยช์มาร์กซ์ เพื่อแก้ไขความไม่สมดุลของดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น และสหรัฐฯ กับเยอรมนี
>>