เปิดหวูดรถไฟจีน-ลาว: นัยต่อเศรษฐกิจไทย

อภิชญาณ์ จึงตระกูล I สิรีธร จารุธัญลักษณ์ I ศุทธาภา นพวิญญูวงศ์ ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

19 เม.ย. 2564

ภาพรวมโครงการรถไฟจีน-ลาว

 

รถไฟจีน-ลาว พร้อมจะเปิดหวูดให้บริการในวันที่ 2 ธันวาคม 2564 นี้ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

 

•  รถไฟจีน-ลาวอยู่ภายใต้โครงการ “ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI)” ของรัฐบาลจีน ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนของการขนส่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

 

•  มีระยะทางจากคุนหมิงถึงเวียงจันทน์รวม 922.5 กิโลเมตร และใช้เวลาในการขนส่ง 8 ชั่วโมง โดยสถานีสุดท้ายสิ้นสุดที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป. ลาว ซึ่งห่างจากจังหวัดหนองคายเพียง 24 กิโลเมตร (รูปที่ 1)

 

•  เบื้องต้นผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องคาดว่าจะมีการขนส่งสินค้า 5 เที่ยวต่อวัน และขนส่งผู้โดยสารไม่เกิน 2 เที่ยวต่อวัน ซึ่งจะสามารถขนส่งสินค้าได้ปีละไม่ต่ำกว่า 2.2 ล้านตัน และขนส่งผู้โดยสารได้ปีละ 0.5 ล้านคน 1/ โดยในระยะถัดไป จะเพิ่มรอบการขนส่งสินค้าเป็น 14  เที่ยวต่อวัน และขนส่งผู้โดยสาร 4 เที่ยวต่อวัน

 

เส้นทางนี้จะเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ผ่านโครงการรถไฟจีน-ยุโรป และทำให้มีการเดินทางของผู้คนเพิ่มมากขึ้น บทความนี้จึงอยากนำเสนอการวิเคราะห์โอกาส ความท้าทาย และปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของไทยจากการเปิดหวูดรถไฟใหม่นี้

railway1
railway2

โอกาสและความท้าทายของไทย

 

1. ด้านสินค้า: ไทยมีโอกาสในการขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น

รถไฟสายนี้จะใช้ขนส่งสินค้าเป็นหลัก สะท้อนจากจำนวนเที่ยวเดินรถไฟของสินค้าที่มากกว่าการขนส่งคน แม้คาดว่าการนำเข้าสินค้าจีนมาไทยจะมีมากขึ้น แต่สินค้าไทยก็มีแนวโน้มที่จะส่งออกได้มากขึ้น เพราะไทยมีตลาดในจีนตอนใต้อยู่แล้ว

 

     (ก) อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ความงาม ผลิตภัณฑ์ยางพารา รวมถึงผลิตภัณฑ์ฮาลาลต่าง ๆ 2/ ซึ่งเป็นสินค้าอีคอมเมิร์ซข้ามแดนยอดนิยม (Cross-border E -commerce หรือ CBEC) (รูปที่ 2) เนื่องจากจีนตอนใต้- มณฑลยูนนานและข้างเคียงมีประชากรมากกว่า 210 ล้านคนที่เป็นกำลังซื้อสำคัญ จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู พบว่า รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนระบบนิเวศการค้าที่เอื้อต่อกลุ่ม SMEs ที่มีช่องทางการขายแบบ CBEC ดังนี้ 1) ไม่ต้องขอใบอนุญาตนำเข้า 2) ไม่เสียภาษีศุลกากร 3) ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม และ 4) การตรวจสินค้าที่เข้มงวดน้อยกว่า ทำให้ SMEs สามารถเข้าไปทดลองตลาดได้ง่ายและสะดวกกว่าการค้ารูปแบบเดิม ส่งผลให้ต้นทุนการทำธุรกิจลดลง


     (ข) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเกษตรและปศุสัตว์ (ผลไม้ ข้าว ยางพารา และไก่แช่แข็ง) ซึ่งเป็นสินค้าอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยส่งออกไปจีน (รูปที่ 2) ที่ส่วนใหญ่ส่งออกทางเรือมากกว่า 80% โดยการใช้เส้นทางนี้จะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง ทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และยังสามารถกระจายความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ค่าขนส่งทางเรือที่แพง รวมถึงการจราจรที่แออัดจากเส้นทางขนส่งเดิม ส่งผลให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจนำไปสู่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้

 

     ความท้าทายมาจากสินค้าจีนที่มีแนวโน้มเข้าไทยอย่างมหาศาล โดยเฉพาะสินค้า CBEC อาทิ กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสินค้าแฟชั่น ที่การนำเข้ามาไทยในช่วง  8 เดือนแรกของปี 2564 ขยายตัวกว่า 275% (รูปที่ 2) ทั้งนี้ ยังพบว่ามีทุนจีนได้เข้ามาตั้งโกดังสินค้าขนาดใหญ่และบริษัทโลจิสติกส์หลายแห่งในลาว เพื่อรองรับสินค้าก่อนกระจายข้ามมาไทยต่อไปด้วย

railway3
railway4

 2. ด้านการลงทุน: ไทยมีโอกาสทั้ง FDI และ TDI 

โดยจะมี FDI จากจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และ TDI จากนักลงทุนไทยที่จะไปลงทุนในลาวเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าและลดต้นทุนการขนส่ง

 

     2.1 ด้าน FDI: นักลงทุนจีนให้ความสนใจมาลงทุนในไทยมากขึ้น จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทำให้จีนย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากนักลงทุนจีนที่มีความสนใจมาซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคอีสาน ซึ่งหากจีนมาลงทุนที่ไทยเพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้นและมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ผ่านการกระจายการลงทุนสู่ภูมิภาค โดยธุรกิจที่จีนสนใจมาลงทุนในไทย มีดังนี้

 

-  บริเวณเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์และพลาสติก รวมถึงผลิตยางล้อ ซึ่งเป็นซัพพลายเชนส่งออกไปจีน 

 

-  บริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NEEC) อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ศูนย์รวบรวมและกระจายวัตถุดิบด้านอาหาร/สินค้า CBEC และอุตสาหกรรมประกอบรถจักรยานยนต์ EV

 

เนื่องด้วยไทย 1) มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการเข้ามาอยู่อาศัยและทำธุรกิจ 2) มีแรงงานที่มีทักษะเป็นจำนวนมาก และ 3) มีความสัมพันธ์อันดีกับจีน ซึ่งมีสมาคมนักธุรกิจเชื้อสายจีนจำนวนมาก รวมทั้งมีการสถาปนาเมืองพี่เมืองน้องกับจีน (Sister City) กว่า 36 คู่ทั่วประเทศ เช่น เชียงใหม่กับมหานครฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน เพชรบูรณ์กับเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน และขอนแก่นกับนครหนานหนิง มณฑลกวางสีจ้วง เป็นต้น

 

     2.2 ด้าน TDI:  นักธุรกิจไทยสามารถไปลงทุนในลาว ในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพและมีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ 

 

         1) ธุรกิจศูนย์กระจายสินค้าและโลจิสติกส์ ในรูปแบบการร่วมทุนกับผู้ประกอบการลาว เพื่ออาศัยสิทธิประโยชน์ในการเดินรถข้ามไปยังประเทศข้างเคียง

         2) ธุรกิจบริการที่ไทยมีความถนัด อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และนวดสปา อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยควรศึกษากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุนให้ดีก่อนเข้าไปลงทุน

         3) ธุรกิจเกษตร และปศุสัตว์ เพื่ออาศัยสิทธิประโยชน์ทางการค้าในการส่งออกไปจีน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกัน ตลอดจนการมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลจีนและลาว

         4) อุตสาหกรรมที่เน้นใช้เทคโนโลยีและซัพพลายเชนในเขตการค้าเสรี หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่มีสิทธิประโยชน์และเอื้อต่อการลงทุน รวมทั้งการที่ลาวได้สิทธิ GSP ในการส่งออกไปยังประเทศที่ 3

 3. ด้านการท่องเที่ยว: เป็นโอกาสของไทยในการรองรับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มจีนตะวันตก

ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง ที่จะเข้ามาเที่ยวไทยแบบกลุ่มทัวร์เป็นจำนวนมาก

 

คนจีนในมณฑลยูนนานที่เป็นต้นทางของรถไฟสายนี้ มีจำนวนประชากรกว่า 47 ล้านคน ซึ่งหาก 1% ของประชากรเหล่านี้ มาท่องเที่ยวในไทย คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวได้ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาทต่อปี 3/ และยิ่งไปกว่านั้น ไทยยังมีโอกาสรองรับนักธุรกิจจีนที่อยู่ในลาวกว่า 1 ล้านคน ที่อาจข้ามมาเที่ยวในไทย โดยเฉพาะในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม โดยปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนนิยมท่องเที่ยวในเมืองหลัก เช่น กรุงเทพฯ กระบี่ ภูเก็ต และเชียงใหม่ เป็นต้น ขณะที่การท่องเที่ยวไปเมืองรองยังคงมีข้อจำกัด 

 

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ในระยะแรก การท่องเที่ยวอาจไม่ได้เป็นโอกาสหลักของไทย คือ การที่ทางการจีนยังไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศได้ โดยคาดว่าทางการจีนจะอนุญาตให้เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงปี 2565-2566 หรือจนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะสามารถอาศัยช่วงเวลานี้ในการเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวแบบ New Normal  ที่จะหลั่งไหลเข้ามาตาม Pent-up Demand หลังจีนเปิดให้ประชาชนออกนอกประเทศได้อีกครั้ง

4. ด้านการขนส่ง 

ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง ที่จะเข้ามาเที่ยวไทยแบบกลุ่มทัวร์เป็นจำนวนมาก

 

จากการศึกษาของธนาคารโลก ที่เปรียบเทียบค่าขนส่งระหว่าง 4 เส้นทาง (รูปที่ 3) พบว่า ประมาณการค่าขนส่งผ่านทางรถไฟจีน-ลาวที่เชื่อมต่อมายังไทยด้วยรถบรรทุกจะช่วยลดค่าขนส่งได้กว่า 1 ใน 3 ของค่าขนส่งทางถนนเดิม และหากรถไฟจีน-ลาวเชื่อมกับรถไฟไทยโดยสมบูรณ์ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้มากกว่าครึ่งของการขนส่งทางถนนเดิม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโลจิสติกส์จะได้ประโยชน์จากการขนส่งแบบ Multimodal Transportation (รถบรรทุกไทยจะขนสินค้าไปเชื่อมกับรถไฟที่ลาว)

 

ในระยะต่อไป หากรถไฟไทยสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟจีน-ลาวได้โดยสมบูรณ์ จะมีปริมาณการใช้เส้นทางนี้เพิ่มมากขึ้น และเส้นทางนี้อาจเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งสินค้าจากจีนไปยังจุดหมายปลายทางอื่น ๆ อาทิ มาเลเซียและสิงคโปร์ แทนการขนส่งทางถนนและทางเรือบางส่วน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่การค้าโลกยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ประเด็นการขนส่งจึงอาจยังไม่ใช่โอกาสสำคัญหลักที่ไทยจะได้รับในระยะสั้น ซึ่งไทยสามารถใช้ช่วงเวลานี้ในการเตรียมเส้นทางให้พร้อมรองรับการขนส่งที่จะมีเพิ่มขึ้นในอนาคต 

railway5

ปัจจัยสู่ความสำเร็จของไทยจากการเปิดหวูดรถไฟจีน-ลาว

railway6

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของจีน อาจทำให้เกิดการแข่งขันกับธุรกิจไทยมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด ดังนั้น ไทยควรเร่งเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบในทุก ๆ มิติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

หมายเหตุ :

 

1/ คำนวณโดยผู้ศึกษา ซึ่งมีสมมติฐานจาก 1) สินค้า: รถไฟ 1 เที่ยวสามารถขนสินค้าได้ 60 ตู้ และ 1 ตู้รองรับได้ 20 ตัน 2) ผู้โดยสาร: รถไฟ 1 เที่ยวรองรับผู้โดยสารได้ 720 คน

2/ ฝั่งจีนตะวันตกมีประชากรชาวมุสลิมราว 22 ล้านคน

3/ ที่มา: กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา คำนวณโดยผู้ศึกษา ซึ่งมีสมมติฐานจาก 1) ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่างชาติในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2562 ประมาณ 1,859.44 บาท/วัน/คน 2) ประชากรในมณฑลยูนนานมาท่องเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างน้อย 1% หรือ 4.7 แสนคนต่อปี

 

 

“บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย”

.

.

.