การทำคาร์บอนเครดิตในนาข้าว

ทวีศักดิ์ ใจคำสืบ | โยษิตา อินทจักร์* ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ

24 ก.ย. 2568

บทความประกอบการสัมมนาทางวิชาการประจำปี ครั้งที่ 10 โดยความร่วมมือของธนาคารโลก ธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวข้อ “เศรษฐกิจไทย–พร้อมรับ ปรับตัว แสวงหาโอกาสท่ามกลางโลกผันผวน” วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบต่อโลกมากขึ้น ทำให้หลายประเทศต้องร่วมมือกันแก้ไข

 

การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยและเทคโนโลยี ทำให้การใช้ทรัพยากรและพลังงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases : GHG) สูงขึ้นจนเกิด “ภาวะโลกรวน” กระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั่วโลก หลายประเทศจึงร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยตั้งแต่ปี 2535 ได้ร่วมกันกำหนดกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) เพื่อควบคุมความเข้มข้นก๊าซเรือนกระจกไม่ให้กระทบต่อการผลิตอาหารและการพัฒนาที่ยั่งยืน ต่อมาในปี 2545 ได้จัดทำข้อตกลงพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ให้ประเทศพัฒนาแล้วลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และในปี 2559 ได้มีข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งมีเป้าหมายควบคุมการเพิ่มอุณหภูมิของโลกไม่เกิน 1.5-2.0 องศาเซลเซียส

carboncredit-1

แม้มีความพยายามร่วมมือกันแก้ไขและป้องกันมาโดยตลอด แต่ปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่อดีตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันหลายประเทศต้องเผชิญความเสี่ยงในระดับสูงมาก (extreme risk) ตัวอย่างประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เช่น ดอมินีกา จีน ฮอนดูรัส เมียนมา อิตาลี สำหรับประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ของโลก1 ทางการไทยจึงแสดงเจตนารมณ์ร่วมแก้ไขปัญหา โดยตั้งเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ บรรลุเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality)” ภายในปี 2593 และบรรลุ “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero emissions)” ภายในปี 2608 


หมายเหตุ : * นักศึกษาฝึกงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ

ที่มา : 1 Climate Risk Index 2025 , ภาพจาก : www.amarintv.com/spotlight/sustainability/69882

ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นมาก ส่วนใหญ่จากภาคพลังงาน รองลงมาเป็นภาคเกษตร

 

ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับที่ 20 ของโลกหรือประมาณ 0.97 % ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งโลกแต่ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา (2502-2562) ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นมาก2

 

ภาคพลังงานปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดมีสัดส่วน 70 % ปริมาณ 260.8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า3 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานร่วมกันสนับสนุน มีแนวทางการป้องกันและมาตรการแก้ไขค่อนข้างชัดเจนและต่อเนื่อง เช่น การใช้พลังงานทดแทน การปลูกป่าและฟื้นฟูป่าไม้ การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า

carboncredit-2

รองลงมา คือ ภาคเกษตรมีสัดส่วน 15 % ปริมาณ 56.8 ล้านตันคาร์บอนฯ ปัจจุบันยังมีการป้องกันและแก้ไขค่อนข้างน้อย และมีความอ่อนไหวมากที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งภาคเกษตรไทยมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยมาก ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการส่งออก เป็นแหล่งจ้างงานหลักของประเทศ และยังช่วยเพิ่มความมั่นคงทางด้านอาหารให้กับประชากรโลก จึงเป็นโอกาสที่จะวางรากฐานการพัฒนาการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรไทยไห้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของไทย และต่อเนื่องไปอีกหลายด้านตามกระแสของโลกในอนาคต


ที่มา : รายงานจาก Utility Bidder บริษัทที่ปรึกษาและประเมินราคาด้านพลังงานจากประเทศอังกฤษ , https://unicarriersthailand.com/thailands-greenhouse-gas/

       3 แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี พ.ศ. 2564-2567  

ตัวอย่างแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรของต่างประเทศ

carboncredit-3

ที่มา : 4 Climate-Smart Agriculture and Forestry Strategy (CSAF strategy), U.S. DEPARTMENT OF AGRICULTURE
       5 The “LIFE AGRESTIC - Reduction of Agricultural Gases Emissions Through Innovative Cropping systems” project, AGRESTIC
       6 Brazil: New Plan for Climate Change Adaptation and Low Carbon Emission in Agriculture, U.S. DEPARTMENT OF AGRICULTURE
       7 Vietnam - Spearheading Vietnam’s Green Agricultural Transformation : Moving to Low-Carbon Rice, World Bank Group 

       Carbon Credits Promise New Income and Environmental Benefits for Cacao Farmers in the Philippines , MEDA 2024 

สำหรับไทยมีแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรชัดเจนขึ้น ตามแผนปฏิบัติการฯ ฉบับแรก

 

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำ “แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2566 – 2570” ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการฉบับแรกที่วางเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร และเพื่อแสดงความมุ่งมั่นการมีส่วนร่วมในการบรรลุุเป้าหมายที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDCs) คือ มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) ภายในปี 2608 มีแนวทางดังนี้  

carboncredit-4

อย่างไรก็ตาม โครงการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรไทยยังมีน้อย เช่น

carboncredit-5

ที่มา : 9 รายงานการตรวจสอบโครงการสำหรับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย สาขาป่าไม้และการเกษตร (Validation Report)
      10 https://thaipublica.org/2023/12/we-shift-world-change-varuna-drives-sustainable-agriculture-environment-with-ai-technology/
      11 กรมวิชาการเกษตร , https://www.bangkokbiznews.com/environment/1122550

การหาวิธีการลดก๊าซเรือนกระจกจากการปลูกข้าว จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกได้มาก

 

จากรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย พบว่า ภาคเกษตรไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดจากการเพาะปลูกพืช 75% ส่วนที่เหลืออีก 25% มาจากการทำปศุสัตว์ โดยในส่วนของการเพาะปลูกพืช กิจกรรมการปลูกข้าวปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดถึง 51% ส่วนอื่นๆ มาจากการระเหยทางตรงของไนโตรเจนจากดิน 14% การระเหยทางอ้อมของไนโตรเจนจากดิน 5% การเผาวัสดุการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูก 3% และการใส่ปุ๋ยยูเรีย 3% จะเห็นได้ว่า การปลูกข้าวของไทยมีส่วนสร้างก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศค่อนข้างมาก ดังนั้นหากมีการจัดการอย่างเหมาะสม จะสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้มาก ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีโอกาสบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้น

carboncredit-6

การทำคาร์บอนเครดิตในนาข้าวช่วยลดก๊าซเรือนกระจกอย่างได้ผล และช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร

 

จากงานวิจัยพบว่า การทำคาร์บอนเครดิตในนาข้าวสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ดีและสามารถตรวจสอบได้ชัดเจน โดยมีกระบวนการหลัก คือ “การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” ซึ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มาก หากประเมินเป็นมูลค่าทั้งในมิติของสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งให้ผลประโยชน์โดยรวมได้สูงถึง 11,128 บาท/ไร่12 และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ประมาณ 1,000 บาทต่อไร่ ดังนั้น “การทำคาร์บอนเครดิตในนาข้าวโดยวิธีการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” นอกจากจะสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรแล้ว ยังส่งผลดีอีกหลายด้าน ทั้งการพัฒนาภาคเกษตรได้อย่างยั่งยืน การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น


ที่มา : 12 รศ.ดร.ภัทรา เพ่งธรรมกีรติ และรศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ทำนาแบบเปียกสลับแห้งลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างไร ?

 

โดยปกติการปลูกข้าวโดยเฉลี่ยประมาณ 90-120 วัน จะมีน้ำขังในนาข้าวเกือบตลอดในช่วงของการเพาะปลูก เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก โดยประมาณ 80 % เป็นก๊าซมีเทน13 ซึ่งเกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ในนาข้าวที่มีน้ำขัง รวมทั้งเป็นผลจากการใช้ปุ๋ยเคมีทำให้เกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ ส่งผลทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น 


ที่มา : 13 https://www.nia.or.th/reducing-methane-in-rice-fields , การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการปลูกข้าว : สาริกา เหลาทอง

กระบวนการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง /14

carboncredit-7

“การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” เป็นหัวใจสำคัญของการการทำคาร์บอนเครดิตในนาข้าว โดยการปล่อยให้ดินในนาข้าวแห้งเป็นช่วง ๆ 

 

  • ช่วงแรก ของการเริ่มปลูกข้าวประมาณ 15-20 วัน เริ่มปล่อยให้น้ำลดระดับลงจนแห้งเพื่อหว่านข้าว
  • ในช่วง 20-60 วัน เป็นช่วงที่ข้าวแตกกอ ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องมีน้ำขัง เพราะจะทำให้ข้าวแตกกอน้อยลง ปล่อยน้ำให้แห้งประมาณ 15-20 วัน แล้วจึงเติมน้ำเข้าไปใหม่และปล่อยให้แห้ง สลับกัน 1-2 ครั้ง
  • ช่วง 60-100 วัน เป็นช่วงข้าวตั้งท้อง ต้องมีน้ำขังในนาข้าว
  • ช่วงสุดท้ายก่อนเก็บเกี่ยว 100-120 วัน ปล่อยให้น้ำแห้งอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีในการช่วยลดความชื้นและเก็บเกี่ยวง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้การลดก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนได้มากขึ้น ได้แก่

 

  • ปรับพื้นที่นาด้วยเลเซอร์ให้เรียบเสมอกัน เพื่อประหยัดการใช้น้ำและต้นทุนค่าเชื้อเพลิงจากการสูบน้ำ
  • ใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินช่วยลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากดิน
  • จัดการฟางและตอซังโดยการไม่เผา ใช้น้ำหมักย่อยสลาย ไถกลบ ทำเป็นอาหารสัตว์ วัสดุทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ 

ที่มา : 14 www.salika.co/2023/08/06/low-carben-rice-innovation/ , คู่มือการทำนาแบบเปียกสลับแห้งแกล้งข้าวภายใต้โครงการจัดทำแปลงสาธิตการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ปีงบประมาณ พ.ศ.2558 , https://www.asean-agrifood.org/wp-content/uploads/2023/11/Updated_Aug2023_ThaiRiceNAMA_Factsheet_TH.pdf

ที่ผ่านมา ในการลดก๊าซเรือนกระจกจากการปลูกข้าว ไทยยังเสียเปรียบคู่แข่งที่มีโครงการลักษณะเช่นเดียวกัน และมีศักยภาพสูง

 

  • ขณะที่ไทยดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิตในนาข้าว ภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA) คู่แข่งสำคัญในการผลิตข้าวเช่นเวียดนาม ได้ดำเนินโครงการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ (Mekong River Delta) ซึ่งมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกจากการปลูกข้าวเช่นกัน โดยมีลักษณะกระบวนการคล้ายคลึงกัน โดยเวียดนามมีการดำเนินการและได้รับการสนับสนุนของภาครัฐอย่างจริงจัง มีผลผลิตต่อไร่สูงกว่าไทยเกือบ 2 เท่า รวมทั้งมีเป้าหมายชัดเจน ส่งผลให้เวียดนามมีศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำได้มากกว่าไทยถึง 1.6 เท่า15  

  • ในระยะต่อไป กระแสโลกมีแนวโน้มต้องการสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดสหภาพยุโรป (ไทยส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรปมูลค่าประมาณ 3% จากทั้งหมด) หากไทยไม่เร่งยกระดับการผลิตข้าวลดก๊าซเรือนกระจก จะทำให้เสียเปรียบในการแข่งขันในอนาคต เนื่องจากการผลิตข้าวของไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากฟิลิปปินส์)  

ที่มา : 16 ข้าวคาร์บอนต่ำของไทยพร้อมแข่งกับเวียดนามแค่ไหน ? , ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 

เปรียบเทียบโครงการ Thai Rice NAMA (ไทย) กับโครงการ Mekong River Delta (เวียดนาม)

carboncredit-8

ที่มา : 16 www.asean-agrifood.org/materials/materials-thai-rice-nama/ และบทความ “ชี้ช่องเกษตรกรไทย! ปรับตัวลดปล่อย Carbon สร้างรายได้-ลดโลกร้อน” Bangkok Bank
       17 SPEARHEADING VIETNAM’S GREEN AGRICULTURAL TRANSFORMATION: Moving to Low-Carbon Rice ,The World Bank 2022

อย่างไรก็ดี ไทยอยู่ระหว่างดำเนินโครงการขยายผลเพิ่มเติม เพื่อความต่อเนื่องและได้ผลลัพธ์มากขึ้น

 

โดยความร่วมมือของกรมการข้าว ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) จัดทำโครงการเพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ : Thai Rice GCF (Strengthening Climate-Smart Rice Farming) เพื่อส่งเสริมการทำนาปล่อยคาร์บอนต่ำ และเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilience) โดยนำเทคโนโลยีที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ (Climate Smart) มาปรับใช้ และยกระดับการดำเนินงานของโครงการ Thai Rice NAMA ทั้งเชิงพื้นที่และเทคโนโลยีที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ (Climate Smart Agriculture: CSA) ภายใต้งบประมาณ 102.35 ล้านยูโร (จาก Green Climate Fund หรือ GCF จำนวน 39.99 ล้านยูโร และงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมจากหน่วยงานของภาครัฐและภาคเอกชนจำนวน 62.36 ล้านยูโร) ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2566 – 2571) ในการเชื่อมต่อและขยายผลการดำเนินงานจากโครงการ Thai Rice NAMA ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ18

carboncredit-9

ที่มา : 18 https://newwebs2.ricethailand.go.th/upload/doc/7293/1672892387.pdf , https://www.thai-german-cooperation.info/th/green-climate-fund-to-invest-38-million-eur-to-strengthen-climate-smart-rice-farming-in-thailand/ , www.greenclimate.fund/project/fp214 ww.amarintv.com/spotlight/sustainability/69882  

ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ Thai Rice GCF จะสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

 

  1. สามารถเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน (Sustainable Livelihoods) ลดความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของชาวนารายย่อย 2.5 แสนราย ในพื้นที่เป้าหมาย 21 จังหวัด19
  2. ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำนาได้ ประมาณ 2.6 ล้านตันคาร์บอนฯ
  3. ลดการใช้น้ำประมาณร้อยละ 50 ในการทำนา
  4. เพิ่มผลผลิตและรายได้ร้อยละ 20 ให้แก่ชาวนา
  5. สร้างงานให้คนในพื้นที่ รวมถึงปรับปรุงและป้องกันการเสื่อมของคุณภาพดินในพื้นที่เพาะปลูก
carboncredit-10

หมายเหตุ : 19 เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ ชัยนาท อ่างทอง ปทุมธานี สิงห์บุรี อยุธยา สุพรรณบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และลพบุรี

แม้ไทยพยายามขับเคลื่อนการทำคาร์บอนเครดิตในนาข้าว แต่ยังมีความท้าทายหลายด้าน :

 

  • ที่ผ่านมาเกษตรกรยังไม่สามารถดำเนินการเองได้ ต้องพึ่งพาหน่วยงานอื่นมาขับเคลื่อนโครงการ เช่น มูลนิธิ, สถาบัน, องค์กรเอกชน มาช่วยวางรากฐานการดำเนินการให้เกือบทั้งหมดก่อน รวมทั้งมีอีกหลายปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ ส่วนสำคัญคือต้องมีผู้นำกลุ่มเกษตรกรที่เข้มแข็ง มี connection ที่ดีกับหน่วยงานภาครัฐ ขณะที่เกษตรกรเองต้องมีวินัยสูง ทั้งการปฏิบัติที่ต่อเนื่องและการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ จึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ
  • ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของภาคเกษตรไทย ทำให้มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อยประกอบด้วย อายุเฉลี่ยของเกษตรกรค่อนข้างมาก ปัญหากรรมสิทธิ์ที่ดิน การใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้เกษตรสมัยใหม่ยังค่อนข้างน้อย ขาดแคลนเงินลงทุน และทัศนคติที่ยังไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
  • ช่วงเริ่มต้นมีต้นทุนค่อนข้างสูง ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ขาดเงินลงทุน เช่น การใช้ชุดอุปกรณ์ปรับที่นาด้วยเลเซอร์มีราคาสูง (ราคาจำหน่ายประมาณ 2 แสนบาทต่อชุด) รวมถึงค่าใช้จ่ายในการปรับพื้นที่สูง ในขณะที่ผลตอบแทนยังน้อยไม่จูงใจ
  • เกษตรกรกังวลในความเพียงพอและความต่อเนื่องของน้ำชลประทาน เนื่องจากการทำนาเปียกสลับแห้งต้องปล่อยน้ำเข้าออกหลายรอบ เกษตรกรจะต้องมั่นใจว่าจะมีการจัดสรรน้ำให้เพียงพอและมาในช่วงเวลาที่ต้องการ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายได้
  • การส่งเสริมและสนับสนุนของหน่วยงานต่าง ๆ ยังค่อนข้างน้อย มาตรการและการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวกับการลดปริมาณคาร์บอนในภาคเกษตรยังอยู่ในช่วงการเริ่มต้น ทำให้เกษตรกร หน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชน อยู่ในช่วงทดลองปฏิบัติและเรียนรู้ทำให้การขับเคลื่อนโครงการล่าช้า

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

 

  1. สนับสนุนให้มีองค์กรกลางในการดำเนินการเกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และเกษตรกร เพื่อวางระบบการดำเนินงาน สนับสนุนองค์ความรู้ เพื่อให้สามารถขยายจำนวนโครงการและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุผลได้ง่ายขึ้น 
  2. สนับสนุนผู้นำเกษตรกรเพื่อสร้างเครือข่ายขับเคลื่อนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ พัฒนาและส่งเสริมผู้นำกลุ่มเกษตรกรให้มีบทบาท พร้อมสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกันในชุมชน เพิ่มความเข้มแข็งและความต่อเนื่องในการดำเนินงาน
  3. ลดต้นทุนและเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือเงินอุดหนุนเพื่อให้เข้าถึงอุปกรณ์และการปรับพื้นที่นา รวมถึงสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านชลประทานให้มีความมั่นคงและต่อเนื่อง
  4. เพิ่มแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและพัฒนาตลาดคาร์บอนภายในประเทศ ให้เกิด green economy ที่แข็งแรง ผ่านการส่งเสริมมาตรการจูงใจ เช่น การลดหย่อนภาษี ส่งเสริม green bond ส่งเสริมและอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรที่เป็น green product & low carbon รวมทั้งพัฒนาตลาดคาร์บอนให้มีความชัดเจน เข้าถึงง่าย และเป็นธรรม
  5. สร้างความตระหนักรู้และเปลี่ยนทัศนคติผ่านการศึกษาและกิจกรรมชุมชน ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านสถาบันครอบครัว การศึกษา และกิจกรรมในชุมชน เพื่อให้เป็นเรื่องใกล้ตัวและเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมอย่างยั่งยืน
carboncredit-11

 

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย