การทำคาร์บอนเครดิตในนาข้าว
ทวีศักดิ์ ใจคำสืบ | โยษิตา อินทจักร์* ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ
24 ก.ย. 2568
บทความประกอบการสัมมนาทางวิชาการประจำปี ครั้งที่ 10 โดยความร่วมมือของธนาคารโลก ธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวข้อ “เศรษฐกิจไทย–พร้อมรับ ปรับตัว แสวงหาโอกาสท่ามกลางโลกผันผวน” วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยและเทคโนโลยี ทำให้การใช้ทรัพยากรและพลังงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases : GHG) สูงขึ้นจนเกิด “ภาวะโลกรวน” กระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั่วโลก หลายประเทศจึงร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยตั้งแต่ปี 2535 ได้ร่วมกันกำหนดกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) เพื่อควบคุมความเข้มข้นก๊าซเรือนกระจกไม่ให้กระทบต่อการผลิตอาหารและการพัฒนาที่ยั่งยืน ต่อมาในปี 2545 ได้จัดทำข้อตกลงพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ให้ประเทศพัฒนาแล้วลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และในปี 2559 ได้มีข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งมีเป้าหมายควบคุมการเพิ่มอุณหภูมิของโลกไม่เกิน 1.5-2.0 องศาเซลเซียส
แม้มีความพยายามร่วมมือกันแก้ไขและป้องกันมาโดยตลอด แต่ปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่อดีตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันหลายประเทศต้องเผชิญความเสี่ยงในระดับสูงมาก (extreme risk) ตัวอย่างประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เช่น ดอมินีกา จีน ฮอนดูรัส เมียนมา อิตาลี สำหรับประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ของโลก1 ทางการไทยจึงแสดงเจตนารมณ์ร่วมแก้ไขปัญหา โดยตั้งเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ บรรลุเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality)” ภายในปี 2593 และบรรลุ “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero emissions)” ภายในปี 2608
หมายเหตุ : * นักศึกษาฝึกงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ
ที่มา : 1 Climate Risk Index 2025 , ภาพจาก : www.amarintv.com/spotlight/sustainability/69882
ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับที่ 20 ของโลกหรือประมาณ 0.97 % ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งโลกแต่ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา (2502-2562) ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นมาก2
ภาคพลังงานปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดมีสัดส่วน 70 % ปริมาณ 260.8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า3 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานร่วมกันสนับสนุน มีแนวทางการป้องกันและมาตรการแก้ไขค่อนข้างชัดเจนและต่อเนื่อง เช่น การใช้พลังงานทดแทน การปลูกป่าและฟื้นฟูป่าไม้ การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า
รองลงมา คือ ภาคเกษตรมีสัดส่วน 15 % ปริมาณ 56.8 ล้านตันคาร์บอนฯ ปัจจุบันยังมีการป้องกันและแก้ไขค่อนข้างน้อย และมีความอ่อนไหวมากที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งภาคเกษตรไทยมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยมาก ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการส่งออก เป็นแหล่งจ้างงานหลักของประเทศ และยังช่วยเพิ่มความมั่นคงทางด้านอาหารให้กับประชากรโลก จึงเป็นโอกาสที่จะวางรากฐานการพัฒนาการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรไทยไห้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของไทย และต่อเนื่องไปอีกหลายด้านตามกระแสของโลกในอนาคต
ที่มา : 2 รายงานจาก Utility Bidder บริษัทที่ปรึกษาและประเมินราคาด้านพลังงานจากประเทศอังกฤษ , https://unicarriersthailand.com/thailands-greenhouse-gas/
3 แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี พ.ศ. 2564-2567
ที่มา : 4 Climate-Smart Agriculture and Forestry Strategy (CSAF strategy), U.S. DEPARTMENT OF AGRICULTURE
5 The “LIFE AGRESTIC - Reduction of Agricultural Gases Emissions Through Innovative Cropping systems” project, AGRESTIC
6 Brazil: New Plan for Climate Change Adaptation and Low Carbon Emission in Agriculture, U.S. DEPARTMENT OF AGRICULTURE
7 Vietnam - Spearheading Vietnam’s Green Agricultural Transformation : Moving to Low-Carbon Rice, World Bank Group
8 Carbon Credits Promise New Income and Environmental Benefits for Cacao Farmers in the Philippines , MEDA 2024
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำ “แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2566 – 2570” ซึ่งเป็นแผนปฏิบัติการฉบับแรกที่วางเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร และเพื่อแสดงความมุ่งมั่นการมีส่วนร่วมในการบรรลุุเป้าหมายที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDCs) คือ มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) ภายในปี 2608 มีแนวทางดังนี้
ที่มา : 9 รายงานการตรวจสอบโครงการสำหรับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย สาขาป่าไม้และการเกษตร (Validation Report)
10 https://thaipublica.org/2023/12/we-shift-world-change-varuna-drives-sustainable-agriculture-environment-with-ai-technology/
11 กรมวิชาการเกษตร , https://www.bangkokbiznews.com/environment/1122550
จากรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย พบว่า ภาคเกษตรไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดจากการเพาะปลูกพืช 75% ส่วนที่เหลืออีก 25% มาจากการทำปศุสัตว์ โดยในส่วนของการเพาะปลูกพืช กิจกรรมการปลูกข้าวปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดถึง 51% ส่วนอื่นๆ มาจากการระเหยทางตรงของไนโตรเจนจากดิน 14% การระเหยทางอ้อมของไนโตรเจนจากดิน 5% การเผาวัสดุการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูก 3% และการใส่ปุ๋ยยูเรีย 3% จะเห็นได้ว่า การปลูกข้าวของไทยมีส่วนสร้างก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศค่อนข้างมาก ดังนั้นหากมีการจัดการอย่างเหมาะสม จะสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้มาก ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีโอกาสบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้น
จากงานวิจัยพบว่า การทำคาร์บอนเครดิตในนาข้าวสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ดีและสามารถตรวจสอบได้ชัดเจน โดยมีกระบวนการหลัก คือ “การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” ซึ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มาก หากประเมินเป็นมูลค่าทั้งในมิติของสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งให้ผลประโยชน์โดยรวมได้สูงถึง 11,128 บาท/ไร่12 และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ประมาณ 1,000 บาทต่อไร่ ดังนั้น “การทำคาร์บอนเครดิตในนาข้าวโดยวิธีการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” นอกจากจะสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรแล้ว ยังส่งผลดีอีกหลายด้าน ทั้งการพัฒนาภาคเกษตรได้อย่างยั่งยืน การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
ที่มา : 12 รศ.ดร.ภัทรา เพ่งธรรมกีรติ และรศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โดยปกติการปลูกข้าวโดยเฉลี่ยประมาณ 90-120 วัน จะมีน้ำขังในนาข้าวเกือบตลอดในช่วงของการเพาะปลูก เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก โดยประมาณ 80 % เป็นก๊าซมีเทน13 ซึ่งเกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ในนาข้าวที่มีน้ำขัง รวมทั้งเป็นผลจากการใช้ปุ๋ยเคมีทำให้เกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ ส่งผลทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น
ที่มา : 13 https://www.nia.or.th/reducing-methane-in-rice-fields , การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการปลูกข้าว : สาริกา เหลาทอง
“การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” เป็นหัวใจสำคัญของการการทำคาร์บอนเครดิตในนาข้าว โดยการปล่อยให้ดินในนาข้าวแห้งเป็นช่วง ๆ
นอกจากนี้ ยังมีกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้การลดก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนได้มากขึ้น ได้แก่
ที่มา : 14 www.salika.co/2023/08/06/low-carben-rice-innovation/ , คู่มือการทำนาแบบเปียกสลับแห้งแกล้งข้าวภายใต้โครงการจัดทำแปลงสาธิตการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ปีงบประมาณ พ.ศ.2558 , https://www.asean-agrifood.org/wp-content/uploads/2023/11/Updated_Aug2023_ThaiRiceNAMA_Factsheet_TH.pdf
ที่มา : 16 ข้าวคาร์บอนต่ำของไทยพร้อมแข่งกับเวียดนามแค่ไหน ? , ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ที่มา : 16 www.asean-agrifood.org/materials/materials-thai-rice-nama/ และบทความ “ชี้ช่องเกษตรกรไทย! ปรับตัวลดปล่อย Carbon สร้างรายได้-ลดโลกร้อน” Bangkok Bank
17 SPEARHEADING VIETNAM’S GREEN AGRICULTURAL TRANSFORMATION: Moving to Low-Carbon Rice ,The World Bank 2022
โดยความร่วมมือของกรมการข้าว ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) จัดทำโครงการเพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ : Thai Rice GCF (Strengthening Climate-Smart Rice Farming) เพื่อส่งเสริมการทำนาปล่อยคาร์บอนต่ำ และเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilience) โดยนำเทคโนโลยีที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ (Climate Smart) มาปรับใช้ และยกระดับการดำเนินงานของโครงการ Thai Rice NAMA ทั้งเชิงพื้นที่และเทคโนโลยีที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ (Climate Smart Agriculture: CSA) ภายใต้งบประมาณ 102.35 ล้านยูโร (จาก Green Climate Fund หรือ GCF จำนวน 39.99 ล้านยูโร และงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมจากหน่วยงานของภาครัฐและภาคเอกชนจำนวน 62.36 ล้านยูโร) ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2566 – 2571) ในการเชื่อมต่อและขยายผลการดำเนินงานจากโครงการ Thai Rice NAMA ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ18
ที่มา : 18 https://newwebs2.ricethailand.go.th/upload/doc/7293/1672892387.pdf , https://www.thai-german-cooperation.info/th/green-climate-fund-to-invest-38-million-eur-to-strengthen-climate-smart-rice-farming-in-thailand/ , www.greenclimate.fund/project/fp214 ww.amarintv.com/spotlight/sustainability/69882
หมายเหตุ : 19 เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ ชัยนาท อ่างทอง ปทุมธานี สิงห์บุรี อยุธยา สุพรรณบุรี อุทัยธานี นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร และลพบุรี
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย