พลิกโฉมแอ่วเหนือ ล่องใต้ เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติเปลี่ยน ธุรกิจต้องปรับ จับโอกาสโตอย่างยั่งยืน
พิมพ์ชนก แย้มสงค์ | ธนพร ตั้งตระกูล | รัชณภัค อินนุกูล | ญาณิศรา ศตะรัต ธนาคารแห่งประเทศไทย
27 ต.ค. 2568
“การท่องเที่ยวไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลังโควิด และยังคงมีความเสี่ยงในระยะต่อไป ที่ผ่านมาเห็นธุรกิจท่องเที่ยวในภาคเหนือและภาคใต้ปรับตัวในระยะสั้นหลายด้าน ขณะที่ระยะยาวเห็นการปรับตัวเข้าสู่กระแส Wellness Tourism และ Green มากขึ้น รวมทั้งมี bright spot ใหม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเข้ากับพลวัตนี้ยังเผชิญกับความท้าทาย และยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐในหลายด้าน”
หมายเหตุ : ที่พักแรมทั้งประเทศมีจำนวน 29,610 แห่ง อยู่ในภาคเหนือ 18% และภาคใต้ 39% ปี 2568 จำนวนที่พักแรมเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ที่มา : ข้อมูลจาก Booking.com คำนวณโดย ธปท.
3.1 ในระยะสั้น ปรับตัวหาลูกค้าใหม่ เพิ่มบริการที่ดึงดูดลูกค้า สร้างกระแส และปรับการบริหาร
3.2 ในระยะยาว เห็นการปรับตัวสู่ Wellness และ Green เป็นโอกาส “สร้างมูลค่าเพิ่ม” ให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน
(1) Wellness x Tourism: เมื่อสุขภาพกลายเป็นจุดขายใหม่ของการเดินทาง
1) กระแสนักท่องเที่ยวใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และทั่วโลกเข้าสู่สังคมสูงอายุ
2) การใช้จ่ายต่อทริปของกลุ่ม Wellness สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป โดยอยู่ที่ $1,8867/ ขณะที่นักท่องเที่ยวทั่วไปใช้จ่าย $1,2758/
3) ภาคเหนือและใต้มีศักยภาพและความพร้อมจับโอกาสWellness ด้วยจุดแข็ง ดังนี้
4) Wellness เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยภายใต้ “แผนขับเคลื่อนไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ” มีนโยบายเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพสู่ Medical & Wellness Hub โดยกระทรวงสาธารณสุข
(2) สร้างโอกาสการท่องเที่ยวใหม่ ด้วย “มาตรฐานสิ่งแวดล้อม”
ภาคเหนือ – การท่องเที่ยวชุมชน (Community Based Tourism: CBT) ได้รับความนิยมในกลุ่มชาวต่างชาติ อาทิ บ้านน้ำจำ จ.เชียงใหม่ ขายโปรแกรม 3 วัน 2 คืน ราคา 7,800–11,000 บาท/คน ให้นักท่องเที่ยวได้มาเรียนรู้วิถีชีวิต และมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน สร้างมูลค่าเพิ่มและช่วยกระจายรายได้ให้คนในพื้นที่ บางโรงแรมร่วมกับชุมชนจัด package 1 day trip ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น
ภาคใต้ – การท่องเที่ยวแบบหรูหรา (Luxury Tourism) ในกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงที่ต้องการประสบการณ์ท่องเที่ยวพิเศษ แม้ปัจจุบันยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีขนาดเล็ก (niche market) แต่มีโอกาสเติบโต โดย จ.ภูเก็ต มีความพร้อมครบวงจรทั้งการเดินทางด้วย Private Jet ที่มีเที่ยวบินขาเข้าเดือน ม.ค.-ก.ย. 68 เพิ่มขึ้นถึง 14.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน9/ อีกทั้งมีที่พัก ultra luxury การชอปปิงสินค้าแบรนด์เนม และกิจกรรมพิเศษ อาทิ ล่องเรือซุปเปอร์ยอชต์ สอดคล้องกับห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่มีแผนขยายพื้นที่สู่การเป็น World-class Shopping Destination
หมายเหตุ : 9/ ข้อมูลจากท่าอากาศยานภูเก็ต, คำนวณโดย ธปท.
“การทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบของทุกภาคส่วน โดยมีภาครัฐเป็นจุดเริ่มต้นและแรงขับเคลื่อนสำคัญ จะช่วยให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับสากล”
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย