พลิกโฉมแอ่วเหนือ ล่องใต้ เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติเปลี่ยน ธุรกิจต้องปรับ จับโอกาสโตอย่างยั่งยืน

พิมพ์ชนก แย้มสงค์ | ธนพร ตั้งตระกูล | รัชณภัค อินนุกูล | ญาณิศรา ศตะรัต ธนาคารแห่งประเทศไทย

27 ต.ค. 2568

“การท่องเที่ยวไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลังโควิด และยังคงมีความเสี่ยงในระยะต่อไป ที่ผ่านมาเห็นธุรกิจท่องเที่ยวในภาคเหนือและภาคใต้ปรับตัวในระยะสั้นหลายด้าน ขณะที่ระยะยาวเห็นการปรับตัวเข้าสู่กระแส Wellness Tourism และ Green มากขึ้น รวมทั้งมี bright spot ใหม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเข้ากับพลวัตนี้ยังเผชิญกับความท้าทาย และยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐในหลายด้าน”

1. พัฒนาการการท่องเที่ยว และแนวโน้มช่วงครึ่งหลังปี 68 และปี 69

 

  • โครงสร้างนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยเปลี่ยนไปจากก่อนโควิด โดยลดการพึ่งพาจีนลง ขณะที่ได้กลุ่มอื่นมาทดแทนมากขึ้น อาทิ ยุโรป มาเลเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ (รูปที่ 1) อีกทั้ง 84% เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง (F.I.T.) 1/ เช่นเดียวกันในภาคเหนือและภาคใต้ก็มีโครงสร้างเปลี่ยนไปสอดคล้องกับประเทศ โดยนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวกลับมาเพียง 1 ใน 3 และมีนักท่องเที่ยวสัญชาติอื่นเข้ามาทดแทนมากขึ้น อาทิ เกาหลีใต้โดยเฉพาะกลุ่มตีกอล์ฟในภาคเหนือ และอินเดียในภาคใต้จากการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน (รูปที่ 2)
travel68-1
  • แนวโน้มท่องเที่ยวภาคเหนือและใต้ช่วงครึ่งหลังปี 68 แม้มีความเสี่ยงขาต่ำมากขึ้น แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวระยะไกล (long haul) และนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (short haul) บางสัญชาติยังมีทิศทางดี ขณะที่ปี 69 คาดว่าขยายตัวเล็กน้อย
travel68-2

2. การเปลี่ยนแปลงของตลาดและปัญหาเชิงโครงสร้าง กระทบความสามารถในการแข่งขันของการท่องเที่ยวไทย

 

  • ธุรกิจท่องเที่ยวเผชิญการแข่งขันจากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะจากเวียดนามและญี่ปุ่น สอดคล้องกับข้อมูลอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวขาเข้าในญี่ปุ่นและเวียดนาม ตั้งแต่ต้นปี 68 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ไทยมีนักท่องเที่ยวลดลง (รูปที่ 3) ทั้งจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย โดย 51% ของนักท่องเที่ยวจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย2/ และค่าใช้จ่ายต่อทริปของไทยที่สูงกว่าเวียดนาม รวมถึงขาดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ดึงดูดนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ในกลุ่มนักท่องเที่ยว long haul โดยเฉพาะยุโรป และอเมริกา ไทยยังมีจุดแข็ง ในเรื่องแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ การบริการที่มีคุณภาพ และการต้อนรับที่เป็นมิตร รวมถึงความพร้อมของโรงแรมในเมืองท่องเที่ยว ซึ่งตอบโจทย์การพักระยะยาว

  • โครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ อาทิ สนามบินจังหวัดหลัก  ในภูมิภาคมีข้อจำกัดด้าน capacity อาทิ สนามบินภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ที่รองรับผู้โดยสารสูงกว่า capacity (รูปที่ 4) รวมทั้ง ขาดระบบขนส่งสาธารณะ และการเชื่อมต่อระหว่างแหล่งท่องเที่ยวและที่พักแรม ส่งผลให้การท่องเที่ยวกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดหลัก เกิดปัญหาการจราจรติดขัด รวมทั้งปัญหาด้านอื่นๆ อาทิ ปริมาณขยะล้นเมือง น้ำท่วมรอระบายบ่อยครั้ง และปัญหาไฟฟ้าบนพื้นที่เกาะไม่เพียงพอในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
travel68-3
travel68-4
  • ปัญหาที่พักแรมล้นตลาด (oversupply) โดยเฉพาะในภาคเหนือ และช่วง low season ในภาคใต้ โดยภาคเหนือ มีที่พักแรมเพิ่มขึ้นจำนวนมากทำให้การแข่งขันสูงขึ้น ปรับเพิ่มราคาห้องพักได้ยาก โดยราคาห้องพักระดับ 3-5 ดาว ในปี 68 ลดลง 3%-5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ ภาคใต้ ที่พักแรมจะ oversupply มากในช่วง low season ที่มีนักท่องเที่ยวน้อยตามฤดูกาล แต่ในช่วง high season ยังมีความต้องการสูง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงแรมในภาคใต้กังวลว่าหากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญก็จะเกิดปัญหา oversupply ชัดเจนขึ้นได้
travel68-5

หมายเหตุ  : ที่พักแรมทั้งประเทศมีจำนวน 29,610 แห่ง อยู่ในภาคเหนือ 18% และภาคใต้ 39% ปี 2568 จำนวนที่พักแรมเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อน 

ที่มา  : ข้อมูลจาก Booking.com คำนวณโดย ธปท. 

3. ธุรกิจท่องเที่ยวต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ท่ามกลางความท้าทายที่มากขึ้น

 

3.1 ในระยะสั้น ปรับตัวหาลูกค้าใหม่ เพิ่มบริการที่ดึงดูดลูกค้า สร้างกระแส และปรับการบริหาร

 

  • ธุรกิจที่พักแรมขยายกลุ่มลูกค้าศักยภาพหลากหลายขึ้น ภาคใต้ เน้นกลุ่มตะวันออกกลาง อินเดีย และออสเตรเลีย ภาคเหนือ เน้นสหรัฐฯ ยุโรป และอเมริกาใต้ สอดคล้องกับผลการสำรวจรูปแบบการปรับตัวของธุรกิจโรงแรม3/ (รูปที่ 6) นอกจากนี้ มีธุรกิจจำนวนมากที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม อาทิ กลุ่ม LGBTQ+  
  • เพิ่มสินค้าและบริการใหม่ให้ตรงใจลูกค้า ธุรกิจนำเที่ยวเพิ่ม package ทัวร์หลายรูปแบบ ตอบโจทย์ความนิยม private trip
  • สร้างกระแสในออนไลน์เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ โดยทำตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย และจูงใจให้ลูกค้าเช็กอินและรีวิว  
  • ปรับรูปแบบการบริหารใหม่ อาทิ การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ และให้ chain hotel หรือผู้เชี่ยวชาญตลาดเข้ามาบริหาร
travel68-6

3.2 ในระยะยาว เห็นการปรับตัวสู่ Wellness และ Green เป็นโอกาส “สร้างมูลค่าเพิ่ม” ให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน

 

(1) Wellness x Tourism: เมื่อสุขภาพกลายเป็นจุดขายใหม่ของการเดินทาง

 

  • อุตสาหกรรม Wellness4/ ทั่วโลกเติบโตสูงหลังโควิด โดยคาดว่าจากปี 2566–2571 มูลค่าอุตสาหกรรมจะเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ 7.3%5/ 
  • ไทยติดอันดับประเทศที่เติบโตด้าน Wellness เร็วที่สุด มูลค่าอุตสาหกรรม Wellness ของไทยอยู่ที่ 40.5 พันล้านดอลล่าสหรัฐ เป็นอันดับที่ 24 ของโลก โดยสัดส่วนหลักอยู่ใน Wellness Tourism และอันดับที่ 9 ของเอเชียแปซิฟิก6/
  • มีโอกาสเติบโต จาก 

          1) กระแสนักท่องเที่ยวใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และทั่วโลกเข้าสู่สังคมสูงอายุ  

          2) การใช้จ่ายต่อทริปของกลุ่ม Wellness สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป โดยอยู่ที่ $1,8867/ ขณะที่นักท่องเที่ยวทั่วไปใช้จ่าย $1,2758/

          3) ภาคเหนือและใต้มีศักยภาพและความพร้อมจับโอกาสWellness ด้วยจุดแข็ง ดังนี้ 

travel68-7
travel68-8

          4) Wellness เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยภายใต้ “แผนขับเคลื่อนไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ” มีนโยบายเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพสู่ Medical & Wellness Hub โดยกระทรวงสาธารณสุข  

travel68-9

 

ตัวอย่างธุรกิจ Wellness ในภาคใต้และภาคเหนือ

travel68-10
travel68-11

(2) สร้างโอกาสการท่องเที่ยวใหม่ ด้วย “มาตรฐานสิ่งแวดล้อม” 

 

  • นักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากรายงาน Changing Traveller Report ปี 68 ของ SiteMinder พบว่า 70% ของนักท่องเที่ยวยินดีจ่ายเพิ่ม เพื่อเข้าพักในที่พักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และในอนาคตมีโอกาสที่ Online Travel Agent (OTA) platform จะโปรโมทที่พักที่เป็น Green ให้ลูกค้าเห็นมากขึ้น
  • สำหรับไทยมีมาตรฐานการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ทั้งมาตรฐานที่ไทยกำหนดเอง และมาตรฐานในระดับสากล โดยหนึ่งในมาตรฐานที่สำคัญคือ “Green Hotel”  เป็นตราสัญลักษณ์ในระดับประเทศ มีอายุการรับรอง 3 ปี แบ่งเป็นระดับเหรียญทองแดง เงิน และทอง นอกจากนี้ ในกลุ่มที่ผ่านระดับเหรียญทอง สามารถต่อยอดสู่มาตรฐาน Green Hotel Plus ซึ่งเป็นระดับสากลที่ได้รับรองจาก Global Sustainable Tourism Council (GSTC) เพื่อเพิ่มโอกาสแข่งขันในตลาดนักท่องเที่ยวยั่งยืน  
  • นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมขนาดใหญ่ 4 ดาวขึ้นไปในภาคใต้ ผ่านการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล อาทิ GSTC, Travellife, EarthCheck และ Tourism Cares (รูปที่ 9) 
travel68-12

ตัวอย่าง: ธุรกิจโรงแรมปรับตัวสู่มาตรฐานสิ่งแวดล้อม เพิ่มโอกาส สร้างกำไร

travel68-13
travel68-14

นอกจากนี้ ยังมีกระแสท่องเที่ยวใหม่ที่กำลังเป็น bright spot ในพื้นที่ 

 

ภาคเหนือ – การท่องเที่ยวชุมชน (Community Based Tourism: CBT) ได้รับความนิยมในกลุ่มชาวต่างชาติ อาทิ บ้านน้ำจำ จ.เชียงใหม่ ขายโปรแกรม 3 วัน 2 คืน ราคา 7,800–11,000 บาท/คน ให้นักท่องเที่ยวได้มาเรียนรู้วิถีชีวิต และมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน สร้างมูลค่าเพิ่มและช่วยกระจายรายได้ให้คนในพื้นที่ บางโรงแรมร่วมกับชุมชนจัด package 1 day trip ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น

 

ภาคใต้ – การท่องเที่ยวแบบหรูหรา (Luxury Tourism) ในกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงที่ต้องการประสบการณ์ท่องเที่ยวพิเศษ แม้ปัจจุบันยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีขนาดเล็ก (niche market) แต่มีโอกาสเติบโต โดย จ.ภูเก็ต  มีความพร้อมครบวงจรทั้งการเดินทางด้วย Private Jet ที่มีเที่ยวบินขาเข้าเดือน ม.ค.-ก.ย. 68 เพิ่มขึ้นถึง 14.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน9/ อีกทั้งมีที่พัก ultra luxury การชอปปิงสินค้าแบรนด์เนม และกิจกรรมพิเศษ อาทิ ล่องเรือซุปเปอร์ยอชต์ สอดคล้องกับห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่มีแผนขยายพื้นที่สู่การเป็น World-class Shopping Destination


หมายเหตุ  : 9/ ข้อมูลจากท่าอากาศยานภูเก็ต, คำนวณโดย ธปท. 

4. การ support จากภาครัฐและภาคการเงินยังคงมีความสำคัญ เพื่อสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจผ่านมาตรการและบริการที่พื้นที่ต้องการ

 

“การทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบของทุกภาคส่วน โดยมีภาครัฐเป็นจุดเริ่มต้นและแรงขับเคลื่อนสำคัญ จะช่วยให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับสากล”

travel68-15

 

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย