​โอกาสไต่บันไดฝัน เกิดจากการไม่หยุดพยายาม

 

การเข้าสู่วงการบันเทิงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การยืนหยัดในระยะยาวนั้นยากยิ่งกว่า นภัทร อินทร์ใจเอื้อ หรือ กัน แชมป์จากรายการประกวดร้องเพลง เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี 6 (พ.ศ. 2553) ได้พาตัวเองโลดแล่น ในวงการมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลานับ 10 ปี โดยเขาไม่เพียงแสดงความสามารถด้านการร้องเพลงเท่านั้น แต่ยังมี ผลงานแสดงทั้งจอแก้วและละครเวทีฟอร์มยักษ์ รวมถึงงานพิธีกร และล่าสุดกับบทบาทการเป็นกรรมการผู้ตัดสิน การประกวดร้องเพลงในรายการ The Golden Song เวทีเพลงเพราะ เพื่อส่งต่อโอกาสที่ตัวเองเคยได้รับให้กับรุ่นน้อง ที่กำลังวิ่งตามฝัน ความทุ่มเทและตั้งใจอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อทำความฝันให้เป็นจริง คือสิ่งที่เขา อยากบอกกับทุกคน


เมื่อยอมปรับ ผลลัพธ์จึงเปลี่ยน

 

"ผมอยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย" นั่นคือหนึ่งในความฝันของเด็กชายนภัทร และความสามารถด้านกีฬาฟุตบอลของเขาก็ไม่ใช่เล่น ๆ เคยทดสอบทักษะกีฬาฟุตบอลได้เป็นอันดับ 1 ของจังหวัดสุพรรณบุรี แต่ไม่ได้เดินตามความฝันนั้นอย่างจริงจัง กันค้นหาความฝันของตัวเองต่อไป จนกระทั่งรู้ตัวว่าชอบการร้องเพลงในช่วงที่เรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และเป็นความฝันใหม่ที่เขาพร้อมไขว่คว้า

 

กันเดินสายประกวดร้องเพลงในหลายเวที และส่วนใหญ่ก็จะคว้าชัยชนะแทบทั้งนั้น แต่เขากลับมาผิดหวังในรายการเดอะสตาร์ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 5 ที่พลาดโอกาสการเข้าสู่รอบสุดท้าย"ตอนนั้นผมหวังไว้มาก ๆ เพราะเป็นนักร้องแนวลูกทุ่งคนเดียวคนอื่นร้องเพลงป๊อบกันหมด คิดว่ากรรมการน่าจะเลือกคนลูกทุ่งเข้าไปบ้าง แต่สุดท้ายเขาไม่เลือก ผมเลยตกรอบไป จำได้ว่าเสียใจมากและคิดถอดใจ เพราะฝังใจว่ากรรมการไม่เลือกเพราะเขาไม่ชอบเราจะมาสมัครปีหน้าอีกทำไม ผมคิดแบบนั้นในตอนที่ตกรอบใหม่ ๆแต่ก็กลับมาสมัครใหม่ในปีที่ 6 เพราะว่าครูเจี๊ยบ นนทิยา จิวบางป่า เห็นแววเรา และสอนเราร้องแนวเพลงป็อบ ครูบอกว่า 'เชื่อเถอะว่าเราทำได้ ไม่ใช่แค่เข้ารอบเท่านั้นแต่สามารถไปถึงที่ 1 ได้เลย' "

 

ความเชื่อมั่นของครูเจี๊ยบในวันนั้น ส่งผลถึงความมั่นใจในตัวเองของกัน ทำให้ยอมเปิดใจรับสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยทำมาก่อน จากร้องเพลงลูกทุ่งมาปรับเป็นร้องเพลงป๊อบ ซึ่งความยากอยู่ที่ความเคยชินในการร้องเพลงลูกทุ่งมาตลอดชีวิตทำให้เมื่อร้องเพลงป๊อบจะมีสำเนียงลูกทุ่งติดอยู่เสมอ กันก็ยังมุ่งมั่นฝึกอยู่เรื่อย ๆ โดยใช้เทคนิคการฝึกร้องเพลงสากล จนกระทั่งสามารถลบสำเนียงลูกทุ่งได้

 

แต่ถึงอย่างนั้น ความเชี่ยวชาญในการร้องเพลงลูกทุ่งคือจุดแข็งที่ทำให้กันร้องเพลงป๊อบได้ดี เพราะการร้องเพลงจะมีการอิมโพรไวส์หรือแอดลิบที่ใช้พื้นฐานการเอื้อน แต่เป็นการเอื้อนแบบอิสระ "นี่เป็นเรื่องของการเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ เราพยายามไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ทุกวันนี้ ถึงเราจะมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น หรือทำงานมามากก็ตาม แต่ถ้ามีคนมาติเรา คอยสอนเรา แนะนำเรา ก็จะรับฟังและปรับตัวเอง นำคำติเตียนต่าง ๆ มาปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเสมอ"


ไม่หยุดเรียนรู้ จึงอยู่ได้นาน

 

หลังจากไต่บันไดความสำเร็จขั้นแรกในการคว้าแชมป์ของเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปี 6 สิ่งที่ตามมาคือโอกาสให้แสดงความสามารถด้านอื่น ๆ อีกมากมาย การประเดิมละครโทรทัศน์ครั้งแรกในเรื่องเรือนแพ กันได้รับรางวัลเมขลาดีเด่นยอดนิยม ประเภทดารานำชายดีเด่นยอดนิยม ต่อยอดไปถึงละครเวทีอีกหลายเรื่องที่ต้องใช้ทั้งความสามารถด้านการร้องเพลงและการแสดงผนวกเข้าด้วยกัน

 

"ถ้าพูดถึงวงการบันเทิงกับตัวผม ผมไม่เคยเห็นตัวเองอยู่ในวงการบันเทิงเลยเพราะว่ารูปร่างหน้าตาของผมไม่ได้มีพร้อมเหมือนกับคนอื่นที่มายืนอยู่กลางแสงไฟแล้วคนจะกรี๊ดให้ ทำให้เราต้องใช้ความสามารถที่มีอยู่มาทดแทนภาพลักษณ์ภายนอก

 

"ไอดอลของผมคือพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ในวันที่เข้ารอบ 3 คนสุดท้ายของการประกวดเดอะสตาร์ แล้วได้มีโอกาสพบพี่เบิร์ด เขาพูดให้ฟังว่า วงการนี้เข้ามาได้ไม่ยากหรอก บางคนร้องเพลงเพราะ บางคนหน้าตาดี แต่การที่จะอยู่ในวงการได้ยาวนาน คือสิ่งที่ยากกว่า เราต้องพัฒนาและฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเวลา พี่เบิร์ดอายุขนาดนี้แล้วยังไม่หยุดซ้อมเต้น ไม่หยุดเรียนร้องเพลง นั่นคือสิ่งที่ผมจำมาตลอดตั้งแต่วันนั้น"

 

แม้หลายคนจะบอกว่าอาชีพนักร้อง นักแสดง เป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง แต่สำหรับกันแล้ว เขาเชื่อว่าอาชีพนี้จะมั่นคงได้ ถ้าซื่อสัตย์กับอาชีพ และทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด

 

"ชีวิตในแต่ละขั้นของเรา อยู่ที่ว่าทำดีที่สุดหรือยัง เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว มันจะพาเราไปเจอสิ่งที่ดีที่สุดเอง"

 

ส่งต่อโอกาสให้คนมีของ

 

ความสามารถไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้กันกลายมาเป็นคนบันเทิงที่ได้ลองทำงานหลากหลายรูปแบบ กันโชคดีที่มีผู้ใหญ่หลายคนให้โอกาส แต่จะว่าไปแล้วโชคและโอกาสที่ได้รับมาเป็นเพราะตัวตนของเขาที่ได้รับการปลูกฝังจากครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก

 

"ครอบครัวปลูกฝังให้เราอ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้ใหญ่ ให้เคารพและไม่ลืมบุญคุณคน นี่คือสิ่งสำคัญมากที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผู้ใหญ่หลายคนเอ็นดูผม เมตตา ให้โอกาส ให้งาน อย่างพี่บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ เห็นว่าผมมีความสามารถด้านนี้เขาก็อยากต่อยอดให้โอกาสทำงานต่าง ๆ ถ้าเรามีความสุภาพ อ่อนโยน ก็ทำให้คนอื่นรักเราได้ง่าย ๆ เอ็นดูเรา"

 

กันได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ตลอดการทำงานเกือบ 10 ปีในวงการบันเทิง ในวันนี้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ที่สามารถหยิบยื่นโอกาสให้กับคนรุ่นหลัง พลิกบทบาทจากผู้ประกวดร้องเพลงมาเป็นคนให้คำแนะนำและตัดสิน ในฐานะกรรมการเวทีประกวดร้องเพลงรายการThe Golden Song เวทีเพลงเพราะ

 

"จากที่เคยเป็นผู้ประกวดร้องเพลง และมีพี่โจ้ สุธีศักดิ์ ภักดีเทวาเป็นหนึ่งในกรรมการ พอได้มาเป็นคนคอมเมนต์อยู่ข้าง ๆ พี่โจ้แล้วเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมาก วันนี้ได้เห็นแต่ละคนที่เข้ามาประกวด มาทำตามความฝันของตัวเอง ผมเคยเป็นแบบเขามาก่อน ทำให้รู้ว่าวินาทีที่เขามายืนร้องเพลง เขารู้สึกอะไร ตื่นเต้นและกดดันแค่ไหน ผมเห็นว่า เขาประหม่าหรือตื่นเต้น แต่มีบางอย่างที่สามารถพัฒนาต่อไปได้เขามีดีกว่านี้ ผมก็ให้โอกาส แล้วเขาก็ทำได้ดีจริง ๆ ในรอบต่อไป"

 

กันมองว่าใจความหลักของการเป็นกรรมการตัดสิน คือ การให้โอกาสคน เหมือนที่เขาเคยได้รับมาก่อน หากคนมีความสามารถทำพลาดเพียงนิดเดียว แล้วต้องสูญเสียโอกาสใหญ่หรือต้องตกรอบเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเกินไป

ความเครียดลดเมื่อมองโลกบวก

 

คนทั่วไปมองเห็นความสำเร็จของกัน นภัทร โดยไม่เคยสัมผัสถึงเบื้องหลังที่ต้องเผชิญความเครียดอยู่บ่อยครั้ง ทั้งความคาดหวังหรือกระแสข่าวที่ถาโถมเข้ามาเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะ หลายครั้งที่กันเลือกกลับบ้านที่สุพรรณบุรีเพื่อพักใจ พาตัวเองออกจากบรรยากาศเดิม ๆ แล้วเติมแง่มุมบวกให้กับการใช้ชีวิตด้วยพลังงานจากครอบครัว

 

"ผมไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ ตั้งแต่ ม.1 ก็เข้ามาเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยแล้ว ทุกวันนี้ก็ทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ได้อยู่ที่สุพรรณบุรี แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่เคยขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ คำสั่งสอนต่าง ๆ ที่เขาได้อบรมให้เราคิดดี ทำดี พูดดีเราก็ยึดในการดำเนินชีวิตมาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าสิ่งนี้จะเป็นเกราะป้องกันให้เราได้สิ่งดี ๆ ตอบแทนกลับมา"

 

กันบอกหลักคิดง่าย ๆ ที่พาตัวเองออกจากความเครียด คือ ต้องไม่หมกมุ่นกับสิ่งที่เป็นลบ และทำทุกงานอย่างดีที่สุดเพื่อจะพาไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

"บางครั้งเจอกระแสข่าว ผมก็ท้อเหมือนกันว่าทำไมสังคมมองเราแบบนั้น บางข่าวพาดหัวแรงจนทำให้บางคนที่ไม่ได้เข้าไปอ่านเนื้อข่าวเข้าใจผมผิดไป เขาไม่ได้เห็นถึงแก่นจริงๆ ของเราว่าเป็นอย่างไร แบบนี้ทำให้ผมรู้สึกแย่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้ก้าวผ่านมาได้คือประสบการณ์ชีวิต ทุกคนต้องมีเรื่องเสียใจอยู่แล้วในแต่ละวัน แต่ว่าเราต้องหาอะไรที่ทำให้เรามีกำลังใจต่อสู้กับชีวิตต่อไปบางวันมีข่าวไม่ดี แต่ไม่กี่วันก็หายไปแล้ว ทุกวันนี้ผมมีแฟนคลับที่ค่อย ๆ ไปจากผมเรื่อย ๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีแฟนคลับใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามา ต้องคิดในแง่บวกแบบนี้"

 

>> ดาวน์โหลด PDF Version

>> อ่าน e-Magazine