การเปิดเผยข้อมูลการดำเนินการของ ธปท. เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2567

การเปิดเผยข้อมูลการดำเนินการของ ธปท. เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2567 09 ธ.ค. 2568 ใช้เวลาอ่าน 999 นาที

บทสรุปผู้บริหาร (executive summary)

 

    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) เป็นปัญหาและภัยคุกคามสำคัญที่หลายประเทศให้ความสนใจเนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะธนาคารกลางที่มีพันธกิจในการดูแลเสถียรภาพทางการเงิน เสถียรภาพระบบสถาบันการเงินและเสถียรภาพระบบการชำระเงิน ตระหนักยิ่งถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นดังกล่าว จึงมีนโยบายและมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) รวมถึงการชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อมุ่งสู่องค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ในการดำเนินกิจการของ ธปท. (internal operations) จากการผลิตและบริหารจัดการธนบัตร การบริหารเงินสำรองทางการ การบริหารจัดการภายในของ ธปท. ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและปรับพฤติกรรมของพนักงาน ตลอดจนผลักดันและสนับสนุนให้สถาบันการเงินและภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อเป้าหมายให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ

 

    รายงานฉบับนี้เป็นการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินการของ ธปท. ในบทบาทต่าง ๆ ดังกล่าวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของ Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD) โดยแบ่งเป็น 4 หัวข้อ ได้ดังนี้

 

1. การกำกับดูแล (governance)

 

    ธปท. มีโครงสร้างการกำกับดูแลนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมทั้งบทบาทตามพันธกิจและการดำเนินกิจการ ในส่วนของพันธกิจ มีคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ประกอบด้วยผู้บริหารของ ธปท. และกรรมการจากภายนอก ทำหน้าที่กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน และวางแนวทางการพัฒนาภูมิทัศน์ภาคการเงินไทยซึ่งรวมถึงดูแลภาพรวมให้ระบบการเงินของไทยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจไปสู่่การเติบโตอย่างยั่งยืน ในส่วนของการดำเนินกิจการ มีคณะกรรมการ ธปท. ประกอบด้วยผู้บริหารของ ธปท. และกรรมการจากภายนอก ทำหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการและการดำเนินการของ ธปท. รวมถึงการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีคณะกรรมการธรรมาภิบาล (CGC) พิจารณากลั่นกรองแผนงานสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมในภาพรวมของ ธปท. และคณะกรรมการบริหารจัดการ (คบจ.) กำหนดทิศทางภาพรวมการดำเนินงานภายในให้มีความเชื่อมโยงกันโดยได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อความยั่งยืน (คณะทำงาน ESG) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว

 

2. กลยุทธ์ (strategy)

 

    ธปท. สนับสนุนและผลักดันให้สถาบันการเงินรวมถึงภาคธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและปรับตัวในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมต่อไปได้ ในขณะเดียวกันยังส่งเสริมการจัดสรรเงินทุน ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินให้แก่ธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (transition finance)

นอกจากนี้ ธปท. ยังคงมีบทบาทและส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินกิจการของ ธปท. ดังต่อไปนี้

    (1) การผลิตและบริหารจัดการธนบัตร โดยร่วมผลักดันผ่านการเลือกใช้วัสดุและเพิ่มสัดส่วนการผลิตธนบัตรประเภทโพลิเมอร์สำหรับบางชนิดราคา ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าประเภทกระดาษ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนกระบวนการบริหารจัดการธนบัตรไปสู่รูปแบบของศูนย์เงินสดกลาง (Consolidated Cash Center: CCC) ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานจากการลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนในการนับคัดธนบัตรและการขนส่งธนบัตรระหว่างศูนย์จัดการธนบัตรของ ธปท. กับศูนย์เงินสดของธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น

    (2) การบริหารจัดการภายในองค์กร โดยเพิ่มสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียน และปรับปรุงระบบวิศวกรรมอาคารสถานที่ที่เอื้อต่อการประหยัดพลังงาน ตลอดจนทยอยเพิ่มจำนวนการใช้รถยนต์ประเภท hybrid ทดแทนรถยนต์ประเภทสันดาปที่ครบอายุการใช้งาน เป็นต้น ทั้งนี้ มาตรการต่าง ๆ จะดำเนินการไปพร้อมกับการสร้างความตระหนักและปรับพฤติกรรมของพนักงานในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย (green mindset) โดยเฉพาะการบริหารจัดการคัดแยกขยะภายใน ธปท. ให้ถูกวิธี และลดปริมาณขยะเหลือใช้ เป็นต้น

    (3) การบริหารเงินสำรองทางการ ที่มีการผนวกปัจจัยเรื่องความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการบริหารการลงทุนภายใต้เกณฑ์การบริหารความเสี่ยงของ ธปท. พร้อมกับการสร้าง ESG awareness ทั้งกับคู่ค้าและผู้จัดการกองทุนภายนอกอย่างต่อเนื่อง

 

3. การบริหารจัดการความเสี่ยง (risk management)

 

    ธปท. มีกระบวนการติดตามและบริหารจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate related risk) ต่อความต่อเนื่องในการดำเนินกิจการภายใน (internal operations) โดยจัดให้มีระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management System: BCMS) ตามมาตรฐาน ISO 22301 รวมถึงจัดทำแผนฉุกเฉินและความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) สำหรับเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ อุทกภัย ที่อาจเกิดขึ้นกับพื้นที่สำนักงานต่าง ๆ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการติดตามและปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฎหมายเกี่ยวกับพลังงานและสิ่งแวดล้อม เช่น ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน ธปท. ได้คำนึงถึงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการบริหารเงินสำรองทางการ (financial operations) โดยจัดทำ (1) ESG internal report เพื่อประเมินระดับของ climate risk ของเงินสำรองทางการ (2) การพัฒนา Climate Risk Warning Tool ซึ่งพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเชิงลึกโดยอาศัยเครื่องมือและข้อมูล ESG rating จากผู้ให้บริการภายนอกในการช่วยประเมินผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ (3) Climate Scenario Test โดยประเมิน Climate Value-at-Risk ของเงินสำรองทางการภายใต้สถานการณ์ที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงหรือมีการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในลักษณะต่าง ๆ รวมถึงสถานการณ์ที่สอดคล้องกับคำแนะนำโดย Network of Central Banks and Supervisors for Greening the Financial System (NGFS) เป็นต้น

 

4. ตัวชี้วัดและเป้าหมาย (metrics and targets)

 

    ธปท. ได้จัดทำตัวชี้วัดการดำเนินงานของ ธปท. เพื่อติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของนโยบายและมาตรการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1-2 (Scope 1-2) ซึ่งมีการสอบทานและได้รับการรับรองผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นประจำทุกปีโดยที่ ธปท. ได้ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1-2 สำหรับสำนักงานใหญ่และสำนักงานภาค1และสำนักงานที่ดูแลการผลิตและบริหารจัดการธนบัตร2 ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ภายในปี 2573 เทียบกับปี 2560 และเทียบกับปี 2561 ตามลำดับ โดยปี 2567 ธปท. สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ร้อยละ 25 และร้อยละ 10 ตามลำดับเมื่อเทียบกับปีฐาน

 

    ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธปท. ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตธนบัตรเนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการนี้จะขึ้นอยู่กับความต้องการปริมาณเงินสดของระบบเศรษฐกิจซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของ ธปท. อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนประเภทวัสดุในการผลิตธนบัตรและกระบวนการบริหารจัดการธนบัตรอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของปริมาณธุรกรรมการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลจะมีส่วนสำคัญในการลดปริมาณการผลิตธนบัตร ซึ่งจะส่งผลต่อการลดก๊าซเรือนกระจกลงได้ในระยะต่อไป

ธปท. กับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

สถาบันการเงินบริหารความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม และช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจให้เปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

  • วางรากฐานที่สำคัญ (building blocks) ที่จะเอื้อต่อการบริหารความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสถาบันการเงินและการจัดสรรเงินทุนให้แก่ภาคธุรกิจ
  • ผลักดันให้มีผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่สนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจมากขึ้น (transition finance)
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ
  • สร้างและเผยแพร่องค์ความรู้
  • ส่งเสริมระบบการชำระเงินดิจิทัล (digital payment) 

  • บริหารจัดการพลังงาน (scope 2) อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนสูงสุด
  • การใช้วัตถุดิบและปรับปรุงกระบวนการผลิตธนบัตรที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน
  • เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรร่วมกัน (shared infrastructure) ในการบริหารจัดการธนบัตรโดยจัดตั้งศูนย์เงินสดกลาง (Consolidate Cash Center: CCC) 
  • บริหารจัดการพลังงาน (scope 2) อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียน
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (scope 1) จากช่องทางอื่น ๆ เช่น ปรับเปลี่ยนรถยนต์สันดาปเป็นรถยนต์ hybrid
  • ลดขยะและสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมของพนักงาน
  • การวิเคราะห์และตระหนักถึงความเสี่ยงด้าน ESG
  • การลงทุนในเงินสำรองทางการเพื่อเป็นอีกแรงผลักดันการเปลี่ยนผ่านของโลกไปสู่ความยั่งยืนภายใต้เกณฑ์การบริหารความเสี่ยงของ ธปท.

บทนำ (preface)

 

    ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) และสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั่วโลกและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประเด็นที่ประเทศต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญอย่างมาก โดยมีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าสาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gas: GHG) เข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกผ่านกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น อาทิ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การทำฟาร์ม การตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าหากยังไม่มีการดำเนินการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง อุณหภูมิของโลกอาจจะร้อนขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียสในอีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้าเมื่อเทียบกับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นระดับอุณหภูมิที่จะสร้างผลกระทบรุนแรงต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติต่าง ๆ จนยากจะแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิม3 จึงทำให้รัฐบาลในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการลดก๊าซเรือนกระจกและได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายที่มุ่งหวังในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5-2.0 องศาเซลเซียสภายใต้ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ด้วยการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ที่คำนึงถึงความยั่งยืน (sustainability) มากยิ่งขึ้น

 

    ประเทศไทยได้ตั้งข้อเสนอเพื่อบรรลุเป้าหมายของการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดในการลดก๊าซเรือนกระจก ( 2nd Nationally Determined Contribution (NDC)) ให้ได้ร้อยละ 30 ในปี พ.ศ. 25734 และมุ่งสู่ Carbon Neutrality ในปี พ.ศ. 2593 และบรรลุเป้าหมาย Net Zero Greenhouse Gas Emission ในปี พ.ศ. 2608 เพื่อร่วมลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย ธปท. สนับสนุนแนวนโยบายเพื่อความยั่งยืนดังกล่าวและมีเป้าหมายในการผลักดันและขับเคลื่อนให้สถาบันการเงินและภาคธุรกิจเห็นความสำคัญของความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนสนับสนุนภาคธุรกิจให้สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึง ธปท. เป็นองค์กรที่มีส่วนร่วมในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างความยั่งยืนด้วย ดังนั้น ธปท. จึงได้เริ่มเปิดเผยข้อมูลด้านการดำเนินการเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของ TCFD ผ่านทางเว็บไซต์ของ ธปท. ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป


1. การกำกับดูแล (governance)

ธปท. มีโครงสร้างการกำกับดูแลนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการทั้งบทบาทตามพันธกิจและการดำเนินงานภายใน

1.1 การกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามพันธกิจ ธปท.

 

    คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ทำหน้าที่กำหนดนโยบายเกี่ยวกับการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ซึ่งรวมถึงการวางแนวทางการพัฒนาภูมิทัศน์ภาคการเงินไทย (Financial Landscape) โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยไปสู่่เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลักดันให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมได้

 

1.2 การกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากการดำเนินงานภายใน

 

          คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กกธ.) ทำหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการและการดำเนินการของ ธปท. ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการภายในด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารเงินสำรองทางการ โดยมีคณะกรรมการธรรมาภิบาล (CGC) พิจารณากลั่นกรองและให้ความเห็นต่อภาพรวมแผนการบริหารจัดการและดำเนินงานภายในด้านสิ่งแวดล้อม และมีคณะกรรมการบริหารจัดการ (คบจ.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการภายใน กำหนดทิศทางแผนงานและดูภาพรวมการดำเนินงานภายในที่มีความเชื่อมโยงกัน

 

    ทั้งนี้ ธปท. ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อความยั่งยืน (คณะทำงาน ESG) เพื่อสนับสนุนการทำหน้าที่ของ CGC และ คบจ. ในการพิจารณาและเสนอนโยบาย แนวทางและเป้าหมาย โดยคณะทำงาน ESG ทำหน้าที่ผลักดัน ติดตาม กำกับดูแลและประเมินผลลัพธ์การดำเนินงานของคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมภายใน ธปท. ซึ่งประกอบด้วยการดำเนินการใน 3 ด้านหลักคือ การผลิตและบริหารจัดการธนบัตร การบริหารจัดการภายใน การบริหารเงินสำรองทางการ ตลอดจนเป็นกลไกในการจัดลำดับความสำคัญและพิจารณาความสอดคล้องเชื่อมโยงของแผนงานด้านความยั่งยืน ทั้งด้านการกำกับดูแล การบริหารจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามพันธกิจ และการดำเนินงานภายในของ ธปท.

 

    สำหรับด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate-related financial risks) นั้น คณะกรรมการกำกับดูแลความเสี่ยง (กคส.) พิจารณา ติดตามและให้ความเห็นต่อแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก่อนเสนอคณะกรรมการ ธปท. เห็นชอบ โดยมีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (คบส.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการภายในพิจารณาอนุมัตินโยบายและแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงิน รวมถึงกรอบการบริหารเงินสำรองทางการระยะยาว โดยมีคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน (อสง.) และ คณะอนุกรรมการบริหารการลงทุนเงินสำรองทางการ (อบท.) ทำหน้าที่สนับสนุนผ่านการเสนอและกลั่นกรองแนวทางบริหารความเสี่ยงและกลยุทธ์การลงทุนเงินสำรองทางการ

โครงสร้างการกำกับดูแลด้าน ESG (ครอบคลุมด้านการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ)

หมายเหตุ: คณะกรรมการ ธปท. คณะกรรมการ กนส. คณะกรรมการ กคส. และคณะกรรมการ CGC ประกอบด้วยผู้บริหารของ ธปท. และกรรมการจากภายนอก


2. กลยุทธ์ (strategy)

ธปท. มีวัตถุประสงค์ในการผลักดันให้สถาบันการเงินและภาคธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญในการรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นตัวอย่างที่ดีในการดำเนินกิจการของ ธปท. โดยคำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

2.1 กลยุทธ์ที่ 1: สถาบันการเงินผนวกด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไปในการดำเนินธุรกิจ และช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจให้เปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเหมาะสมกับบริบทประเทศไทย

 

    ธปท. ได้ผลักดันแนวคิดการธนาคารเพื่อความยั่งยืนมาโดยตลอด โดย ธปท. มุ่งผลักดันให้ภาคการเงินมีการผนวกโอกาสและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งมีบทบาทช่วยให้ภาคเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับความท้าทายและบริบทของประเทศไทย ซึ่งต้องสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนและการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงจังหวะเวลา (timing) และความเร็ว (speed) ที่เหมาะสม โดยประกอบด้วยแผนงานสำคัญ ดังนี้

2.1.1 การวางรากฐานสำคัญสำหรับระบบนิเวศเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในภาคการเงิน (building blocks)5 โดยในปี 2567 มีความคืบหน้าที่สำคัญ ได้แก่

    (1) การกำกับดูแลสถาบันการเงินให้ผนวกโอกาสและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

    ภายหลังจากที่ในปี 2566 ธปท. ได้มีแนวนโยบาย เรื่อง การดำเนินธุรกิจสถาบันการเงินโดยคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันให้สมาคมธนาคารไทยจัดทำคู่มือการดำเนินธุรกิจสถาบันการเงินโดยคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Industry Handbook) และในปี 2568 ธปท. มีแผนที่จะให้ธนาคารพาณิชย์ประเมินความพร้อมในการผนวกความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการสำคัญตามแนวนโยบายและคู่มือข้างต้น ดังนั้น ในปี 2567 ธปท. จึงได้ดำเนินการดังนี้

 

    (1) จัดทำและสื่อสารความคาดหวังการดำเนินการตามแนวนโยบายและคู่มือข้างต้นสำหรับธนาคารพาณิชย์แต่ละกลุ่ม เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์เตรียมความพร้อมก่อนการประเมินความพร้อมในปี 2568

 

    (2) ผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบ (Domestic Systemically Important Banks: D-SIBs) จัดทำแผนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (transition plan) ในส่วนของการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจ สำหรับภาคเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญต่อพอร์ตของธนาคารพาณิชย์หรือต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างน้อยหนึ่งภาคเศรษฐกิจภายในปี 2568

 

    (3) จัดทำโครงการนำร่องการทดสอบภาวะวิกฤตในมิติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate stress test) กับธนาคารพาณิชย์กลุ่ม D-SIBs และธนาคารพาณิชย์อื่นที่มีความพร้อม โดยเริ่มจากความเสี่ยงทางกายภาพ (physical risk) เพื่อกระตุ้นให้สถาบันการเงินตระหนักและมีองค์ความรู้เรื่องความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate-related financial risks) ต่อลูกหนี้ของตนเอง 

    (2) การพัฒนามาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (Thailand Taxonomy)

 

    ธปท. ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาคการเงิน พัฒนามาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (Thailand Taxonomy) เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนการปรับตัวของธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ และช่วยลดปัญหาการกล่าวอ้างเกินจริงหรือการฟอกเขียว (greenwashing) โดยในปี 2567 ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างร่วมกันจัดทำ Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 สำหรับภาคการเกษตร ภาคอาคารและอสังหาริมทรัพย์ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคการจัดการของเสีย ซึ่งต่อเนื่องจาก Thailand Taxonomy ระยะที่ 1 ที่จัดทำสำหรับภาคพลังงานและภาคการขนส่ง โดยเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อ Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 ในช่วงวันที่ 28 ตุลาคม 2567-10 มกราคม 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2568

Thailand Taxonomy

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน

มาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย

    (3) องค์ความรู้และทักษะของบุคลากรในภาคการเงิน (capacity building)

 

    ธปท. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานกำกับดูแลและสถาบันการเงินในต่างประเทศ จัดสัมมนาและเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ในเรื่องการเงินเพื่อความยั่งยืนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เช่น การกำกับดูแลสถาบันการเงินในมิติความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดทำแผนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (transition plan) ของสถาบันการเงินต่างประเทศ ตลอดจนการวิเคราะห์ภาวะวิกฤตและการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate scenario analysis and stress testing) ในด้านความเสี่ยงทางกายภาพ (physical risk) เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรของสถาบันการเงินไทยและ ธปท. อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธปท. ผลักดันให้สถาบันการเงินไทยทยอยเปิดเผยข้อมูลตามแนวปฏิบัติ TCFD เพื่อให้เกิดข้อตกลงร่วมกัน (commitment) ของสถาบันการเงินในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมด้วย

2.1.2 ผลักดันให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่สนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม (transition finance)

 

    ธปท. ได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง จัดทำโครงการ Financing the Transition ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 โดยให้ธนาคารพาณิชย์ออกแบบและนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อและบริการที่ช่วยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจปรับกระบวนการดำเนินงานที่มีหรือได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมสูงไปสู่การดำเนินงานที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมน้อยลง (จาก brown เป็น less brown) ซึ่งผลิตภัณฑ์ภายใต้โครงการดังกล่าวครอบคลุมภาคเศรษฐกิจสำคัญของไทยที่จำเป็นต้องปรับตัว เช่น ภาคการผลิต ภาคก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหาร และภาคโรงแรม รวมถึงตอบโจทย์ SMEs ให้สามารถเริ่มปรับตัวจากก้าวเล็ก ๆ ได้ก่อน โดยมีเงื่อนไขที่เหมาะสมและจูงใจให้ลูกค้าปรับตัวให้เกิดผลจริง และสามารถรองรับลูกค้าที่ต้องการปรับตัวในกิจกรรมคล้ายกันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการตั้งเป้าสินเชื่อภายใต้โครงการนี้รวมกัน 100,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 โดย ณ สิ้นปี 2567 มียอดการอนุมัติสินเชื่อภายใต้โครงการ โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 ธนาคารพาณิชย์อนุมัติสินเชื่อภายใต้โครงการไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในระยะต่อไป ธปท. คาดว่าโครงการนี้จะสามารถขยายผลทั้งในมิติจำนวนลูกค้าและสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการในวงกว้างขึ้น และมิติการตอบโจทย์การปรับตัวที่ตรงจุดและครบวงจรมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs ที่ทำธุรกิจส่งออกหรืออยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ที่ได้รับแรงกดดันจากกฎเกณฑ์ของต่างประเทศและจากคู่ค้า ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง

Financing the Transition

 

การเงินเพื่อการปรับตัวสู่ความยั่งยืนของภาคธุรกิจ

2.1.3 ความร่วมมือระหว่างประเทศ

 

    ธปท. สื่อสารและให้ความร่วมมือกับองค์กรและเครือข่ายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งหน่วยงานกำหนดมาตรฐานสากล หน่วยงานกำกับดูแลภาคการเงิน และภาควิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ ตลอดจนเพื่อยกระดับการดำเนินการในเรื่องการเงินเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับแนวทางของสากลอย่างสม่ำเสมอ เช่น การร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการพัฒนา ASEAN Taxonomy และการเป็นสมาชิกเครือข่าย Network of Central Banks and Supervisors for Greening the Financial System (NGFS) เป็นต้น

2.1.4 การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้

 

    สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) ดำเนินงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับเศรษฐกิจ เริ่มจากชุดบทความ PIERspectives  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับเศรษฐกิจ 2 บทความต่อเนื่องกัน โดยบทความที่ 1 นำเสนอแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกและของประเทศไทย ตลอดจนผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อเศรษฐกิจในภาพรวมและภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ และบทความที่ 2 นำเสนอความจำเป็นในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ ทาง PIER ยังได้ร่วมกับนักวิชาการในเครือข่ายดำเนินการศึกษาเชิงลึกถึงผลกระทบของความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate risk) ต่อภาคการเงิน และถ่ายทอดผ่านบทความวิจัย “Climate Risk and Financial Stability: A Systemic Risk Perspective from Thailand” ซึ่งศึกษาผลกระทบของทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ (physical risk) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (transition risk) ต่อความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) ของระบบธนาคารไทย

    PIER ยังได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โดยจัดให้มีการประชุมเครือข่ายนักวิชาการซึ่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้เครือข่าย Low-carbon Research Network อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อสร้างความร่วมมือ รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และงานวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติต่าง ๆ กับนักวิชาการภายนอก ทั้งด้านเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เครื่องมือทางการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate finance) และกลไกทางกฎหมาย เป็นต้น

2.2 กลยุทธ์ที่ 2: เป็นตัวอย่างที่ดีในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของ ธปท. เพื่อช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม

 

    ธปท. มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการบูรณาการแนวคิดการผลิตและบริหารจัดการธนบัตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ตั้งแต่ต้นน้ำ (upstream) คือการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตธนบัตร กลางน้ำ (midstream) คือการขนย้ายและขนส่ง และปลายน้ำ (downstream) คือการส่งมอบธนบัตร รวมทั้งการบริหารจัดการธนบัตรที่ใช้ทรัพยากรร่วมกัน ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในส่วนของ ธปท. และขยายวงกว้างไปสู่ระบบเศรษฐกิจ

 

    ในขณะเดียวกัน ธปท. ได้ตั้งเป้าหมายในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนในการดำเนินงานของ ธปท. อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธปท. คำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG ในการบริหารเงินสำรองทางการตามที่กำหนดไว้ในกรอบการบริหารเงินสำรองทางการภายใต้ระดับความเสี่ยงทางการเงินที่ยอมรับได้

2.2.1 เพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตและบริหารจัดการธนบัตรเพื่อให้เอื้อต่อการสนับสนุนความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีบูรณาการ ใน 3 ด้าน คือ

 

    (1) บริหารจัดการการใช้พลังงาน (scope 1-2) อย่างมีประสิทธิภาพพร้อมกับการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนสูงสุด โดยการปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้งานอย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงการติดตั้งใช้งานระบบโซลาร์เซลล์ขนาด 1 เมกะวัตต์ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2563 และจะพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการพึ่งพาแหล่งพลังงานหมุนเวียนนี้อีกในอนาคต เพื่อทดแทนการใช้พลังงานไฟฟ้าบางส่วนในการผลิตธนบัตร

 

    (2) การใช้วัตถุดิบและปรับปรุงกระบวนการผลิตธนบัตรที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน โดยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ธปท. ได้ออกใช้ธนบัตรพอลิเมอร์ชนิดราคา 20 บาท ทดแทนธนบัตรกระดาษ ซึ่งธนบัตรชนิดพอลิเมอร์ผลิตจากวัสดุพลาสติกประเภท biaxially oriented polypropylene (BOPP) ที่มีความทนทานต่อความชื้นและสิ่งสกปรกได้ดี ทำให้มีอายุการใช้งานนานกว่าธนบัตรชนิดกระดาษอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การผลิตธนบัตรชนิดพอลิเมอร์จึงส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าธนบัตรชนิดกระดาษเมื่อประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามวงจรชีวิตธนบัตร ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนสิ้นสุดการใช้งาน ทั้งนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการพิจารณาออกใช้ธนบัตรชนิดพอลิเมอร์เพิ่มเติม สำหรับชนิดราคา 50 บาท และ 100 บาท ซึ่งคาดว่าอาจจะออกใช้ได้ในปี 2568

 

    (3) เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรร่วมกัน (shared infrastructure) ในการบริหารจัดการธนบัตรโดยจัดตั้งศูนย์เงินสดกลาง (Consolidate Cash Center: CCC) ผ่านการลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อนในการคัดแยกสภาพธนบัตร รวมทั้งลดจำนวนเที่ยวการขนส่งธนบัตร ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้

 

    ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบัน ธปท. ไม่ได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในส่วนของการผลิตและบริหารจัดการธนบัตร แต่ ธปท. ยังคงมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินนโยบายด้านการผลิตและบริหารจัดการธนบัตรต่อการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยผลการศึกษาภายใน ธปท. ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากการผลิตธนบัตรชนิดพอลิเมอร์ชนิดราคา 20 บาท และการจัดตั้งศูนย์เงินสดกลาง (CCC) คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 4,256 tCO2eq ต่อปี โดยสรุปสาระสำคัญดังนี้

ผลการศึกษา

ผลการศึกษาภายในที่เกี่ยวข้องกับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตธนบัตรชนิดพอลิเมอร์ และการจัดตั้งศูนย์เงินสดกลาง (CCC)

1. การผลิตธนบัตรชนิดพอลิเมอร์ชนิดราคา 20 บาท จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 3,525 tCO2eq ต่อปี เมื่อเทียบกับการผลิตธนบัตรชนิดกระดาษ โดยเป็นผลจากอายุการใช้งานของธนบัตรชนิดพอลิเมอร์ที่ยาวนานกว่าธนบัตรชนิดกระดาษ (ประมาณการอายุการใช้งานเฉลี่ยที่ 4 เท่า) ส่งผลให้ธนบัตรที่หมุนเวียนกลับเข้ามาเพื่อทำลายและความจำเป็นในการผลิตธนบัตรใหม่เพื่อทดแทนลดลง

2. การจัดตั้งศูนย์เงินสดกลาง (CCC) จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 731 tCO2eq ต่อปี โดยเป็นผลจากการลดการใช้เชื้อเพลิงจากระยะทางการขนส่งธนบัตรที่ลดลงและการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อนกัน  

2.2.2 การบริหารจัดการภายในด้านสิ่งแวดล้อม ใน 3 ด้าน คือ

 

    (1) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานไฟฟ้า (scope 2) โดย ธปท. ได้เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน เปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน อาทิ หลอดไฟฟ้าแสงสว่างเป็นชนิด LED รวมทั้งบริหารจัดการระบบวิศวกรรมให้มีประสิทธิภาพลดการใช้พลังงาน เช่น ปิด chiller เร็วขึ้น ปรับเวลาเปิด-ปิดไฟฟ้าแสงสว่างให้สอดคล้องตามฤดูกาล โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของพนักงาน

 

    (2) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากช่องทางอื่น ๆ (scope 1 และ 3) โดย ธปท. ได้ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านมาตรการและแผนงานต่าง ๆ เช่น เปลี่ยนรถยนต์จากรถสันดาปเป็นระบบ hybrid รวมทั้งส่งเสริมการลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล โดยมีบริการรถตู้รับส่งพนักงานไปยังจุดให้บริการขนส่งสาธารณะ รวมทั้งมีการกำหนดแนวทางการป้องกันการรั่วไหลของก๊าซ LPG โดยการตรวจสอบการรั่วไหลของระบบท่อ LPG เป็นประจำทุกปี ในด้านน้ำประปา ธปท. ได้นำน้ำดื่มที่เหลือจากห้องประชุมและระบบวิศวกรรมไปรดน้ำต้นไม้ เพื่อให้มีการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ส่วนในด้านการลดใช้กระดาษ ธปท. มีการนำระบบและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาใช้งาน นอกจากนี้ ธปท. ยังได้กำหนดให้ใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการเปลี่ยนระบบทำน้ำเย็น (chiller) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย

 

    นอกจากนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการติดตามและเก็บรวบรวมข้อมูลการเดินทางทางอากาศของพนักงานในกิจการงานของ ธปท. (business air travel) เพื่อให้มีฐานข้อมูลสำหรับการบริหารจัดการภายในตามมาตรฐานสากลในระยะต่อไป ตลอดจนการปรับปรุงกรอบการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นมา โดยเพิ่มการสนับสนุนสินค้าจากผู้ผลิตที่คำนึงถึง ESG มากขึ้น รวมถึงการจัดทำ supplier code of conduct ซึ่งเน้น 4 เรื่องสำคัญได้แก่ (1) จริยธรรมทางธุรกิจ (2) สิทธิมนุษยชนและการปฏิบัติด้านแรงงาน (3) อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในที่ทำงาน และ (4) สิ่งแวดล้อม เพื่อผลักดันให้คู่ค้าของ ธปท. ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นนี้ และส่งเสริมให้คู่ค้าให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนและ ESG อีกทางหนึ่งด้วย  

 

    (3) การสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมของพนักงาน โดย ธปท. ส่งเสริมให้พนักงานเล็งเห็นความสำคัญของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงาน และตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด จึงได้ประกาศนโยบายการบริหารจัดการขยะให้พนักงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้ง ธปท. ถือปฏิบัติร่วมกัน รวมทั้งจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการช่วยผลักดันและขับเคลื่อน รวมทั้งได้ขยายกิจกรรมแยกขยะไปสู่ครอบครัวพนักงานผ่านโครงการขายขยะส่วนตัว โดยมุ่งหวังให้ ธปท. เป็นองค์กรต้นแบบในการบริหารจัดการขยะ อนุรักษ์ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

2.2.3 การพัฒนากรอบการบริหารเงินสำรองทางการโดยคำนึงถึงความยั่งยืน

 

    โดย ธปท. เล็งเห็นถึงความจำเป็นของการคำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG ในการบริหารเงินสำรองทางการ ภายใต้วัตถุประสงค์หลักของการบริหารเงินสำรองทางการ คือ ความมั่นคง สภาพคล่อง และผลประโยชน์ตอบแทนของสินทรัพย์ตลอดจนความเสี่ยงในการบริหารจัดการ โดยจัดให้มีการวิเคราะห์และตระหนักถึงความเสี่ยงด้าน ESG เนื่องจากความเสี่ยงด้าน ESG อาจมีผลต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจการเงินและการตีราคาสินทรัพย์ ซึ่งจะมีผลต่อ risk-adjusted return ของการบริหารเงินสำรองทางการ นอกจากนี้ การลงทุนในเงินสำรองทางการเป็นอีกแรงผลักดันการเปลี่ยนผ่านของโลกไปสู่ความยั่งยืนภายใต้เกณฑ์การบริหารความเสี่ยงของ ธปท.


3. การบริหารจัดการความเสี่ยง (risk management) 

ธปท. มีกระบวนการติดตามและบริหารจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (climate-related risk) ทั้งผลกระทบต่อความต่อเนื่องทางธุรกิจในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของ ธปท. (internal operations) และผลกระทบในมิติทางการเงิน (financial operations) ต่อการบริหารเงินสำรองทางการ (reserve management) ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนอกจากจะสะท้อนให้เห็นจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเฉลี่ยแล้ว ยังทำให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้วที่รุนแรงและถี่ขึ้นอีกด้วย (extreme weather events) เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุหมุนเขตร้อน ความร้อนสุดขั้ว เป็นต้น โดยผลการศึกษาของ PIER6 ได้ชี้ให้เห็นว่าภายใต้ภาพจำลองสถานการณ์แนวทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้ระดับความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจก (Representative Concentration Pathway: RCP) RCP4.5 อุณหภูมิพื้นผิวโลกในช่วงปลายศตวรรษที่ 21 มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 1.5ºC เมื่อเทียบกับอุณหภูมิในช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ในขณะที่ภายใต้ภาพจำลอง RCP6.0 และ RCP8.5 อุณหภูมิพื้นผิวโลกจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 2ºC นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดคลื่นความร้อน (heat waves) บ่อยครั้งขึ้นและระยะเวลาที่ประสบปัญหาคลื่นความร้อนยาวนานมากขึ้น เหตุการณ์ฝนตกหนัก (extreme precipitation) มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดบ่อยครั้งขึ้นในบางภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น อุณหภูมิน้ำทะเลมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น มหาสมุทรประสบปัญหาการเป็นกรด และระดับน้ำทะเลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 

          สำหรับประเทศไทยนั้น ผลการศึกษานี้คาดว่าจะมีสภาพอากาศที่ร้อนและร้อนยาวนานขึ้น โดยอุณหภูมิ (1) จะสูงขึ้น 1.0ºC ภายในช่วงปี 2020–2040 (2) จะสูงขึ้น 1.5ºC ภายในช่วงปี 2045–2080 และ (3) จะสูงขึ้น 2.0ºC ภายในช่วงปี 2050–2070 รวมทั้งคาดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2–4ºC ในปี 2100 นอกจากนี้ ประเทศไทยอาจจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่สุดขั้วมากขึ้น เช่น ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมฉับพลันจากเหตุการณ์ฝนตกหนักมากยิ่งขึ้น ระดับน้ำทะเลที่มีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 1 เมตรภายในปี 2100 อีกด้วย

 

          ธปท. ตระหนักถึงความสำคัญของภัยคุกคามอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของ ธปท. อาทิ ความปลอดภัย อาชีวอนามัยของพนักงาน และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (risks to internal operations) ตลอดจนผลกระทบด้านการเงินต่อการบริหารเงินสำรองทางการ (risks to financial operations) ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมถือเป็นปัจจัยความเสี่ยงสำคัญ ที่จะส่งผลกระทบต่อประเภทความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ของ ธปท. โดยที่การบริหารจัดการความเสี่ยงอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงองค์กร (enterprise risk management process) ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลของคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร เช่นเดียวกับการบริหารจัดการความเสี่ยงประเภทอื่น

3.1 ความเสี่ยงต่อการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของ ธปท. (risks to internal operations)

 

3.1.2 ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (transition risks)

 

    ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ ธปท. ทั้งในระยะสั้น ระยะกลางหรือระยะยาว จากการศึกษาวิเคราะห์ความเสี่ยงทางกายภาพ (physical risks) อันเป็นผลมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาตินี้คาดว่า ธปท. สำนักงานใหญ่ (สนญ.) เผชิญกับภัยคุกคามจากการเกิดอุทกภัย (flood) และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น (sea level rise) เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและใกล้กับอ่าวไทยที่มีความเปราะบางต่อปริมาณน้ำเหนือที่ไหลลงมาประกอบกับน้ำทะเลที่อาจหนุนสูงขึ้นได้ ในขณะที่พื้นที่ตั้งของสำนักงานภาคเหนือ (สภน.) และภาคใต้ (สภต.) ก็มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภัยคุกคามจากอุทกภัยเช่นเดียวกันเมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้ ภัยแล้ง (drought) และคลื่นความร้อนที่สูงขึ้น (extreme heat) ถือเป็นภัยคุกคามสำคัญสำหรับเศรษฐกิจภูมิภาคและสุขภาวอนามัยของพนักงานที่ปฏิบัติงานที่สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (สภอ.) อีกด้วย

 

    ภัยพิบัติทางธรรมชาติดังกล่าวอาจทวีความรุนแรงขึ้นและก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของ ธปท. ตลอดจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพนักงาน และกระบวนการทำงานจนทำให้ ธปท. ไม่สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ หรืออาจเกิดความผิดพลาด เสียหาย ไม่มีประสิทธิภาพหรือประสิทธิผล ดังนั้น ธปท. โดยฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวมจะรับผิดชอบการติดตามและประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงจากภัยคุกคามทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมทั้งเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงทางกายภาพนี้ โดยได้จัดให้มีระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management System: BCMS) ตามมาตรฐาน ISO 22301 เช่น จัดทำแผนฉุกเฉินและความต่อเนื่องทางธุรกิจอย่าง (BCP) โดยมีการซักซ้อมเตรียมความพร้อมของผู้บริหารและพนักงานต่อภัยคุกคามในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นประจำ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ  นอกจากนี้ ธปท. ยังได้มีการทำประกันภัยเพื่อรองรับความเสียหายอีกด้วย

 

3.1.2 ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (transition risks)

 

    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมยังก่อให้เกิดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (transition risks) ที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือกฎเกณฑ์ของรัฐ (policy and legal) ไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยปัจจุบันกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่ระหว่างการยกร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงปารีสตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแสดงเจตจำนงที่จะขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศไปสู่เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่สมดุลและยั่งยืน โดยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์เพื่อนำไปสู่การป้องกันและลดความรุนแรงของผลกระทบจากปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

    ธปท. ได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมรองรับข้อกำหนดของกฎหมายฉบับนี้ โดยกำหนดเป้าหมายมีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 และแผนดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 เทียบกับปีฐาน ซึ่งครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน scope 1-2 ของ สนญ. สภน. สภอ. และ สพฐ. (เฉพาะสำนักงานและ DC2) ตลอดจน สภต. ซึ่งสอดคล้องและเร็วกว่าที่เป้าหมายของการมีส่วนร่วมที่ประเทศไทยกำหนดไว้ นอกจากนี้ ธปท. ได้ดำเนินมาตรการและวิธีปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลและแนวปฏิบัติสากล และให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างความตระหนักและปรับพฤติกรรมของพนักงานที่จะมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างเสริมความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในองค์กรอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

3.2 ความเสี่ยงต่อการบริหารเงินสำรองทางการ (risks to financial operations)

 

    ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินทรัพย์ที่ ธปท. ลงทุนในรูปแบบ ประเภทและประเทศต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากหลายประเทศโดยเฉพาะสหภาพยุโรป ต่างพยายามผลักดันมาตรการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม (green transition) ให้เกิดขึ้นเพื่อที่จะแก้ไขและจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมนี้อย่างจริงจัง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ในตราสารหนี้และตราสารทุนที่ออกโดยภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ ซึ่ง ธปท. ตระหนักยิ่งถึงความเสี่ยงดังกล่าวที่มีในตลาดการเงินโลก จึงมีการติดตามและวิเคราะห์ carbon footprint จากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารเงินสำรองทางการเพื่อลดความเสี่ยงของเงินสำรองทางการที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยเป็นการติดตามและประเมินความเสี่ยงทางการเงินที่สอดคล้องกับแนวทางของธนาคารกลางอื่น ๆ ตัวอย่างสำคัญเช่น

 

    1) จัดทำ ESG internal report เพื่อประเมินระดับของ climate risk ของเงินสำรองทางการ โดยวัดและประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกองทุนเงินสำรองทางการผ่านทางมิติต่าง ๆ เช่น ความเข้มข้นของคาร์บอนแบบเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average Carbon Intensity: WACI) และ Implied Temperature Rise (ITR) เป็นต้น

 

    2) พัฒนา Climate Risk Warning Tool ซึ่งพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเชิงลึกโดยอาศัยเครื่องมือและข้อมูล ESG rating จากผู้ให้บริการภายนอกในการช่วยประเมินผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ซึ่งช่วยในการวิเคราะห์สัดส่วนการลงทุนในระยะยาวของ ธปท. และอาจนำไปสู่การทำ negative screening ได้

 

    3) จัดทำ Climate Scenario Test โดยประเมิน Climate Value-at-Risk ของเงินสำรองทางการผ่าน internal model ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงของสินทรัพย์และกองทุนเงินสำรองทางการในภาพรวมภายใต้สถานการณ์ที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงหรือมีการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในลักษณะต่าง ๆ (physical and transition risks) รวมถึงสถานการณ์ที่แนะนำโดย Network of Central Banks and Supervisors for Greening the Financial System (NGFS) ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์ Climate Stress Test ของเงินสำรองทางการปี 2567 พบว่าเงินสำรองทางการมีมูลค่าลดลงเล็กน้อยภายใต้สถานการณ์จำลองที่กำหนด

 

    ทั้งนี้ ธปท. เล็งเห็นถึงโอกาสในการมีส่วนสนับสนุนความยั่งยืนผ่านการลงทุนทั้งในตราสารหนี้และตราสารทุน สำหรับตราสารหนี้ ธปท. มีการลงทุนใน Impact Bond ภายใต้เกณฑ์การลงทุนเงินสำรองทางการ โดยพิจารณาจากผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่มีความคุ้มค่าเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเงินสำรองทางการ ในส่วนของตราสารทุน ธปท. ได้มีการศึกษาช่องทางและโอกาสในการลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของโลกไปสู่ความยั่งยืนในแบบต่าง ๆ ทั้งนี้ ธปท. เห็นว่าการลงทุนในตราสารทุนโดยจัดตั้ง climate goal นั้นจำเป็นต้องพิจารณาควบคู่กับหลักเกณฑ์ความเสี่ยงของ ธปท. ด้วย

 

    นอกจากนี้ ในเชิงของการสร้างความตระหนัก (ESG awareness) และการมีส่วนร่วม (engagement) ของ ธปท. ในฐานะเจ้าของสินทรัพย์ (asset owner) ธปท. ให้ความสำคัญกับ stewardship โดยได้จัดทำ ESG proxy voting principle เพื่อใช้สื่อสารกับผู้จัดการกองทุนภายนอกให้เข้าใจถึงการให้ความสำคัญด้าน ESG ของ ธปท. รวมทั้งมีการใช้ปัจจัยด้าน ESG เพื่อใช้ติดตามและหารือกับผู้จัดการกองทุนภายนอกและคู่ค้าของเงินสำรองทางการด้วย


4. ตัวชี้วัดและเป้าหมาย (metrics and targets) 

 

 

ธปท. กำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายในส่วนของการดำเนินงานของ ธปท. เป็นสำคัญ สำหรับในปีแรก จะเริ่มเปิดเผยข้อมูลขอบเขตที่ 1-2 (scope 1-2) ในส่วนของการบริหารจัดการสำนักงานซึ่งมีการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ (1) สำนักงานใหญ่และสำนักงานภาค และ (2) สำนักงานที่ดูแลด้านการผลิตธนบัตรและบริหารจัดการธนบัตร

4.1 ด้านการบริหารจัดการภายใน ธปท.

 

    ธปท. ได้รับการรับรองผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรในส่วนของ scope 1-2 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)7 ดังปรากฏตามตารางที่ 1 โดยการใช้ไฟฟ้า (scope 2) คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 95 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ทั้งนี้ ธปท. ได้ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก scope 1-2 ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งเป็นปีฐาน8 ซึ่งในภาพรวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ลดลงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีฐาน

ตารางที่ 1: ภาพรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสำนักงานใหญ่และสำนักงานภาค9

(Scope 1 และ Scope 2 )10

หมายเหตุ: ตั้งแต่ปี 2564 ธปท. ได้ทำการรวมตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้า (Scope 1 และ 2) ของสำนักงานใหญ่และสำนักงานภาคเข้าด้วยกัน

    ในภาพรวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีแนวโน้มลดลงโดยเฉพาะช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ปี 2563-64 ทั้งนี้ แม้ว่าภายหลังสถานการณ์การระบาดจะดีขึ้นในปี 2565 และตัวเลขปรับเพิ่มขึ้นแต่ภาพรวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ ธปท. ยังคงอยู่ในทิศทางลดลง (ลดลงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีฐาน) โดยสิ่งที่ ธปท. ดำเนินการแล้ว อาทิ ปรับปรุงระบบทำความเย็น (chiller) และการเปลี่ยนระบบปรับอากาศเป็นแบบ split type นอกจากนี้ ธปท. ได้ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สะสมที่ 350 kW11 ซึ่งช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าแบบดั้งเดิม (จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)

4.2 ด้านการผลิตธนบัตรและบริหารจัดการธนบัตร

 

    ปัจจุบัน ธปท. ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก scope 1-2 เฉพาะในส่วนของการบริหารจัดการสำนักงานและศูนย์บริหารจัดการข้อมูล (Data Center: DC2) ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับปี 2561 โดยที่ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในส่วนของการผลิตและบริหารจัดการธนบัตร เนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตและบริหารจัดการธนบัตรจะขึ้นกับความต้องการเงินสดของระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัจจัยนอกเหนือการควบคุมของ ธปท.

ตารางที่ 2: ภาพรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสำนักงานด้านการผลิตธนบัตรและบริหารจัดการธนบัตร (scope 1 และ scope 2)12

หมายเหตุ: การกำหนดปีฐานปี 2561 เนื่องจาก อบก. รับรองผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสำนักงานด้านการผลิตธนบัตรและบริหารจัดการธนบัตร ปี 2561

ภาพที่ 1: การติดตามตัวเลขก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมในการผลิตและบริหารจัดการธนบัตร13 (scope 2)

    ภาพรวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ช่วงปี 2563 - 2564 เป็นผลมาจากความต้องการใช้เงินสดของประชาชนที่ลดลง เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสประกอบกับพฤติกรรมการใช้ digital payment ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ธปท. สามารถลดปริมาณการผลิตธนบัตรลง นอกจากนี้ ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมายังคงมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน โดยในปี 2567 ผลจากการใช้ระบบโซลาเซลล์ปริมาณ 1 เมกะวัตต์ สามารถทดแทนการใช้พลังงานไฟฟ้า 1,146,000 หน่วย/ปี นอกจากนี้ ผลจากมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องจักรการผลิต สามารถลดการใช้พลังงานได้ 1,260,000 kWh ต่อปี รวมไปถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าจากการผลิตและบริหารจัดการธนบัตรในปี 2567 ที่ลดลงร้อยละ 25 เทียบกับปีฐาน


1 สำนักงานภาคเหนือ (สภน.) และ สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (สภอ.) ทั้งนี้ ไม่รวมสำหนักงานภาคใต้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงอาคารสำนักงาน

2 เฉพาะอาคารสำนักงานและศูนย์บริหารจัดการข้อมูล (Data Center: DC2)

3 IPCC Climate Change 2023 Synthesis Report

4 ร้อยละ 40 โดยขึ้นอยู่กับการเข้าถึงกลไกการสนับสนุนทางการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี การเงิน และการเสริมสร้างศักยภาพที่เพิ่มขึ้นและเพียงพอ ภายใต้กรอบข้อตกลง United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC)

5 สามารถดูรายละเอียดการวางรากฐานสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ ธปท. 
https://www.bot.or.th/content/dam/bot/financial-innovation/sustainable-finance/green/GreenDirectionalPaper-TH.pdf

6 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับ เศรษฐกิจ: ตอนที่ 1 สถานการณ์และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | PIER

7 อบก. รับรองผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสำนักงานใหญ่ปี 2560 สำนักงานภาคเหนือ และสำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับการรับรองปี 2564

8 การกำหนดปีฐานปี 2560 เนื่องจากเป็นปีที่ ธปท. มีการคำนวณค่าก๊าซเรือนกระจกของสำนักงานใหญ่เป็นปีแรก 

9 ไม่รวมสำหนักงานภาคใต้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงอาคารสำนักงานและจะเริ่มเก็บข้อมูลในปี 2568

10 Scope 2 คิดจากค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) ช่วงปี 2560 และช่วงปี 2562

11 สนญ. 280 kW; สภน. 50 kW; สภอ. 20 kW

12 ข้อมูลปี 2562-2565 มาจากการคำนวณตามกรอบแนวทาง ปี 2561 ที่ทวนสอบและรับรองผลโดย อบก.

13 คำนวณจากพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตธนบัตรและการบริหารจัดการธนบัตรที่ศูนย์จัดการธนบัตรกรุงเทพฯ (นครชัยศรี) (scope 2)