เรื่องเล่าวิกฤตเงินเฟ้อในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเงินโลก
ณ เวเนซุเอลา ปลายเดือนสิงหาคมปี 2561 กระดาษชำระหนึ่งม้วนราคาพุ่งทะยานไปแตะ 2,600,000 โบลิวาร์จากราคาประมาณ 4-5 โบลิวาร์ในปี 2557 ขณะที่ไก่หนึ่งตัวมีราคาสูงถึง 14,600,000 โบลิวาร์ (จาก 22-27 โบลิวาร์) มะเขือเทศ 1 กิโลกรัมมีราคา 5,000,000 โบลิวาร์ (จาก 7-9 โบลิวาร์) และถ้าใครคิดจะซื้อของทั้งหมดนี้พร้อมกันด้วยธนบัตร 1,000 โบลิวาร์ ซึ่งเป็นธนบัตรมูลค่าสูงสุด ก็ต้องหอบธนบัตรหนักประมาณ 22.6 กิโลกรัมไปจ่าย
ที่เป็นตลกร้ายสำหรับชาวเวเนซุเอลาก็คือ ถ้ามีเงินสดพอแต่ไม่ได้ซื้อของในวันนี้ วันพรุ่งนี้อาจต้องขนเงินไปหนักกว่าเดิม และไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะมีของขาย แต่ในความเป็นจริงโหดร้ายกว่านั้น เพราะแม้เงินเดือนและค่าจ้างที่ได้รับจะสูงขึ้น แต่ก็มีมูลค่าไม่มากพอจะซื้อหาอาหารและของใช้จำเป็นอยู่ดี
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวเนซุเอลานั้น เรียกว่า “hyperinflation” หรือ เงินเฟ้อรุนแรง ที่ทำให้มูลค่าของเงินลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การพกเงินสดออกไปซื้อของเพื่อจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันต้องแบกเงินหนักหลายกิโลกรัม ซึ่งอาจจะเหนื่อยพอ ๆ กันกับการยกเวตในยิม
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1990s (ปี 2533-2542) เหตุการณ์ฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาในภาคการเงินในประเทศญี่ปุ่น ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากตามความต้องการบริโภคและลงทุนที่ลดลงต่อเนื่อง กลายเป็นแรงกดดันให้ราคาสินค้าและบริการปรับลดลงตามไปด้วย โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่เพียง -0.3% เท่านั้น
เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ญี่ป่น เรียกว่า "deflation" หรือ เงินฝืด ซึ่งราคาที่มีแนวโน้มปรับลดลงนั้น ยังมีผลกระทบต่อการผลิตและกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ ทำให้รายได้ของธุรกิจ การจ้างงาน และการลงทุนที่รุนแรง และต้องใช้เวลาอย่างยาวนานกว่าญี่ปุ่นจะสามารถหลุดออกจากวงจรนี้ได้
ณ สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรในทศวรรษ 1970s (พ.ศ. 2513-2522) ผู้คนต้องเจอกับสภาวะการว่างงานที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจถดถอย แต่ในเวลาเดียวกัน เงินเฟ้อกลับสูงขึ้นมาก และราคาสินค้าแพงขึ้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ผลของเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกต้องเจอ “ช็อก” อย่างรุนแรง และไม่อาจใช้วิธีการดูแลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อแบบเดิม ๆ ได้
เหตุการณ์อย่างที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย แต่เงินเฟ้อสูงนั้น เรียกว่า “Stagflation” ซึ่งเป็นคำผสมระหว่าง “Stagnation” (ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ) และ “Inflation” (เงินเฟ้อ)
สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ การดูแล “เงินเฟ้อ” เป็นเรื่องที่ทั้งน่าสนใจและน่าปวดหัวไปพร้อม ๆ กัน ในด้านหนึ่ง หากควบคุมได้ดี “เงินเฟ้อที่เหมาะสม” จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เงินเฟ้อผิดปกติ ไม่ว่าจะพุ่งสูงหรือดิ่งต่ำจนติดลบ ก็อาจเป็นคำเตือนถึงความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ และหลายครั้งในประวัติศาสตร์เงินเฟ้อที่ผิดปกติเหล่านี้นี่เองที่เป็นอาการสำคัญของวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรง
และนี่คือเรื่องราวของ “วิกฤตเงินเฟ้อ” จากประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเงินโลก ที่อยากหยิบยกนำมาเล่าเพื่อให้เข้าใจและเท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน
ในโลกของการพัฒนาเศรษฐกิจการเมือง เวเนซุเอลามักถูกพูดถึงในฐานะประเทศ “ประชานิยมฝ่ายซ้าย” โดยเฉพาะช่วงภายใต้การนำของประธานาธิบดีอูโก ชาเบซ (Hugo Chávez) ผู้ล่วงลับ ที่ครองอำนาจตั้งแต่ปี 2542-2556 หลังจากนั้นเรื่องราวของเวเนซุเอลาในหน้าสื่อมักเป็นเรื่องการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมืองในยุคหลังชาเบซเป็นหลัก
กระทั่งในปี 2561 เศรษฐกิจเวเนซุเอลากลายเป็นข่าวที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ลุกลามกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจและส่งผลกระทบที่สาหัสต่อชีวิตประจำวันของประชาชน
เวเนซุเอลาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่นคงจากการส่งออกน้ำมัน และรัฐบาลเวเนซุเอลาตั้งแต่ยุคชาเบซก็ขึ้นชื่อเรื่องการนำรายได้จากน้ำมันมาทำนโยบายประชานิยม เพื่อรักษาอำนาจทางการเมือง อย่างไรก็ตาม การพึ่งพารายได้จากน้ำมันเพียงอย่างเดียว ทำให้เศรษฐกิจเปราะบางต่อความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นอย่างมาก เมื่อราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่องในช่วงปี 2557 รายได้ของรัฐบาลก็ลดลง
เพื่อชดเชยรายได้ก้อนใหญ่ที่หายไป รัฐบาลจึงตัดสินใจพิมพ์เงินเพิ่มจำนวนมหาศาล ซึ่งผลร้ายที่ตามมาก็คือ ค่าเงินโบลิวาร์ (Bolívar) สูญเสียมูลค่าลงอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง และรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเงินเฟ้อในเวเนซุเอลาสูงถึง 800% ในปี 2558 และ 3,500% ในปี 2560 และสูงสุดในปี 2561 ที่ระดับ 80,000-100,000%1 ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของค่าเงินอย่างมาก
เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ตามมาคือความตื่นตระหนก ประชาชนชาวเวเนซุเอลาต่างเร่งกักตุนสินค้า จนทำให้ของใช้จำเป็นขาดแคลน โดยเฉพาะสินค้าที่รัฐบาลพยายามควบคุมราคา เช่น นม เนื้อสัตว์ กาแฟ ข้าวสาร ไปจนถึงยารักษาโรค หลายครั้งประชาชนที่อดทนต่อคิวเป็นเวลาหลายชั่วโมง กลับต้องผิดหวังและมือเปล่ากลับบ้าน เพราะสินค้าไม่เพียงพอ
เมื่อมีเงินแต่ซื้ออะไรไม่ได้ เงินในกระเป๋าก็กลายเป็นเพียงกระดาษ ทำให้ประชาชนชนต้องหันไปพึ่งพาระบบการแลกเปลี่ยนสินค้า (barter) และการซื้อขายในตลาดมืด ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในชีวิตประจำวัน
ความสาหัสของวิกฤตเงินเฟ้อและเศรษฐกิจทำให้ประชาชนจำนวนมากเลือกหนีออกจากเวเนซุเอลา โดยองค์การสหประชาชาติประมาณการว่านับตั้งแต่ปี 2557 มีชาวเวเนซุเอลาราว 2 ล้านคน อพยพหนีวิกฤตเศรษฐกิจ ข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างโคลอมเบียและชิลี2
แม้เงินเฟ้อรุนแรงจะถึงจุดที่แย่ที่สุดในปี 2561 แต่ความไร้เสถียรภาพก็ยังดำเนินมาจนกระทั่งปัจจุบัน โดยในปี 2563-2564 อัตราเงินเฟ้อต่อปียังสูงถึงระดับ 1,500-2,300% และแม้ตัวเลขล่าสุดในปี 2566-2567 จะลดลงมาเหลือระดับ 300-400% แต่ก็ยังถือว่าสูงมากเมื่อเทียบตัวเลขระดับเงินเฟ้อที่เหมาะสมที่ไม่เกิน 3%
ซิมบับเวเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เคยประสบกับภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง โดยในปี 2551 อัตราเงินเฟ้อของซิมบับเวพุ่งสูงถึง 89.7 เซ็กซ์ทิลเลียนเปอร์เซ็นต์ (89,700,000,000,000,000,000,000%) จนประชาชนซิมบับเวได้รับการขนานนามว่า “คนจนพันล้าน (poverty billionaires)3” เพราะในขณะที่รายได้และค่าจ้างขั้นต่ำยังเท่าเดิม แต่อำนาจซื้อหายไปหลายร้อยล้านเท่า
ราคาของที่แพงขึ้นทำให้ปริมาณธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนระบบเศรษฐกิจไม่เพียงพอ เพราะต้องใช้ธนบัตรเพิ่มขึ้นในการซื้อของปริมาณเท่าเดิม รัฐบาลจึงแก้ปัญหาด้วยการออกธนบัตรใหม่มูลค่าสูงถึง 100 ล้านล้านดอลลาร์ซิมบับเว แบบไม่มีอะไรหนุนหลัง โดยหวังว่าปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นจะช่วยแก้ปัญหาธนบัตรไม่เพียงพอ และทำให้ประชาชนมีเงินเอาไปใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นด้วย แต่รายงานชี้ว่า เงินจำนวน 100 ล้านล้านดอลลาร์ซิมบับเว กลับยิ่งซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อ และสุดท้ายเงินที่พิมพ์ออกมาก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการซื้อขายสินค้าและบริการขั้นพื้นฐานด้วยซ้ำ
ทั้งเวเนซุเอลาและซิมบับเวแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่รุนแรงของการบริหารที่ผิดพลาด ซึ่งกลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน
มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) นักเศรษฐศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 20 เคยกล่าวไว้ว่า “วิธีที่ดีที่สุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือการที่ประเทศถูกทำลาย (The best way to grow rapidly is to have the country bombarded)” คำพูดนี้ฟังดูเหนือจินตนาการ แต่เรื่องนี้กลับเคยเกิดขึ้นจริงในประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามที่พังยับเยิน แทบทุกเมืองถูกทำลายราบเป็นหน้ากลองในฐานะประเทศฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม แต่ญี่ปุ่นกลับพลิกสถานการณ์จากประเทศที่แทบไม่มีทรัพยากรเหลืออยู่ กลายเป็น "ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ" ขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ ภายในเวลาเพียง 23 ปี (พ.ศ. 2488-2511 หรือช่วง ค.ศ. 1945-1968) ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปลายทศวรรษ 1980s
ในยุคทองทางเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นเติบโตด้วยอุตสาหกรรมและนวัตกรรมใหม่ ๆ จากอุตสาหกรรมพื้นฐาน เช่น การทอผ้า ผลิตเครื่องจักรขนาดเล็ก หลอดไฟ พัฒนาไปสู่การผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้บริษัทญี่ปุ่นครองตลาดโลกในหลายสินค้า กลายเป็นผู้ส่งออกสำคัญของโลก
แต่ในช่วงทศวรรษ 1980s (พ.ศ. 2523-2532) เศรษฐกิจญี่ปุ่นเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากข้อตกลง Plaza Accord ซึ่งสหรัฐอเมริกาบังคับให้ญี่ปุ่นปรับเพิ่มค่าเงินเยน ทำให้สินค้าญี่ปุ่นแพงขึ้นในตลาดโลก บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งจำเป็นต้องย้ายฐานผลิตมายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้เศรษฐกิจจะยังเติบโตต่อเนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์และหุ้นที่ขยายตัว แต่ความมั่งคั่งก็กลับกลายเป็น "ฟองสบู่" ที่แตกกระจายในปี 2534
ภาวะฟองสบู่แตกส่งผลให้ราคาทรัพย์สินตกต่ำลงอย่างรุนแรง สถาบันการเงินจำนวนมากต้องแบกรับหนี้เสียมหาศาล แม้รัฐบาลและธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะพยายามอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถฟื้นคืนความเชื่อมั่นให้เศรษฐกิจได้ ความไม่มั่นใจนี้ส่งผลให้คนญี่ปุ่นลดการบริโภคลง เช่นเดียวกันกับบริษัทต่าง ๆ ที่็ปรับลดการลงทุนลงเพราะสินค้าขายไม่ออก ธุรกิจต้องลดราคาลง จนทำให้เศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะ "เงินฝืด" กลายเป็นวงจรปัญหาเศรษฐกิจที่กินเวลานับสิบปี
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงปี 2533-2542 จึงถูกเรียกว่า "ทศวรรษที่สูญหาย" (The Lost Decade) จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ อัตราว่างงานที่สูงขึ้น รายได้ที่แทบไม่เพิ่ม แม้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนอัตราดอกเบี้ยเหลือแค่ 0% ในปี 2542 แต่ก็ไม่เป็นผล ในปี 2559 ธนาคารกลางญี่ปุ่นจึงต้องใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ4 โดยประกาศลดอัตราดอกเบี้ยจาก 0% เป็น - 0.1%
ในช่วงปลายทศวรรษ 2010s เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเป็นผลมาจากนโยบายปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ภายใต้ "Abenomics" ที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ ที่เมื่อผสานกับนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเศรษฐกิจญี่ปุ่นจึงเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ล่าสุดเดือนมีนาคม 2567 ธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยจาก - 0.1% เป็นระดับ 0% ถึง 0.1% ซึ่งนับเป็นการประกาศขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 17 ปี และปิดฉากยุคอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบที่ดำเนินมาต่อเนื่องมากกว่า 8 ปี
อย่างไรก็ตาม BOJ ต้องเผชิญความท้าทายใหม่ นั่นคือการรักษาสมดุลระหว่างกระตุ้นเศรษฐกิจและควบคุมเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง ซึ่งกระทบต่อราคาสินค้านำเข้า เช่น พลังงานและอาหาร ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภาวะเงินฝืดอันยาวนานและรุนแรงเช่นนี้ คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประวัติศาสตร์โลก บทเรียนจากญี่ปุ่นจึงมีคุณค่าอย่างมากสำหรับประเทศอื่นในการเรียนรู้และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำรอยกับญี่ปุ่น
ในช่วงทศวรรษ 1970s (พ.ศ. 2513-2522) สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ได้เผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่เรียกว่า "Stagflation" นั่นก็คือ ภาวะที่เศรษฐกิจแย่ คนตกงานเยอะ แต่เงินเฟ้อกลับสูงขึ้น ซึ่งทำให้ นักเศรษฐศาสตร์ต้องเกาหัวด้วยความฉงน เพราะเป็นเหตุการณ์ที่สวนทางกับทฤษฎีที่เคยเรียนรู้มาว่า เงินเฟ้อสูงมักจะเกิดขึ้นตอนเศรษฐกิจเติบโตดี คนมีเงินจับจ่ายใช้สอยมาก ราคาสินค้าและบริการจึงสูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น
สาเหตุของ Stagflation ในครั้งนั้น มีจุดเริ่มมาจากกวิกฤตน้ำมัน (Oil Shock) ที่กลุ่มประเทศ OPEC พร้อมใจกันลดการส่งออกน้ำมัน ทำให้ปริมาณน้ำมัน (supply) ในตลาดโลกลดลง และราคาน้ำมันพุ่งทะยานสูงขึ้น จนกระทบต้นทุนการผลิตและทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ แพงขึ้น และจุดชนวน Stagflation ขึ้น ในสหรัฐฯ ทำให้ประชาชนบริโภคน้อยลง บริษัทลดการผลิต และปลดคนงานออก และทำให้เศรษฐกิจถดถอยในที่สุด
Stagflation ถือเป็นปัญหาที่ "น่าปวดหัว" ทั้งสำหรับรัฐบาลและธนาคารกลาง และเป็นโจทย์ที่ยากและซับซ้อนในการดูแลเศรษฐกิจและเสถียรภาพราคา เพราะการใช้วิธีการแบบเดิมมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการและซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐฯ ที่มาตรการของรัฐบาลเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เพื่อจูงใจให้เกิดการใช้จ่ายและลงทุน ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น (เคยสูงถึง 13.5% ในปี 2523) และต่อมาเมื่อ FED ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนขึ้นไปสูงถึงเกือบ 20% ในปี 2524 เพื่อเร่งจัดการกับเงินเฟ้อ ก็ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวลงมา พูดได้ว่า ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็เจ็บ! โดยสหรัฐฯ ต้องใช้เวลาที่ยาวนานหลายปีในการแก้วิกฤตครั้งนั้น
บทเรียนวิกฤตเงินเฟ้อที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็น hyperinflation, deflation หรือ stagflation สะท้อนให้เห็นบทเรียนหนึ่งที่สำคัญ นั่นก็คือ การดูแลเงินเฟ้อซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไม่ได้มีสูตรตายตัว และการดูแลเงินเฟ้อมีความท้าทายมากขึ้นในโลกปัจจุบันที่ซับซ้อนและเปลี่ยนเร็ว ฉะนั้น การเข้าใจว่าเงินเฟ้อแบบไหนที่เป็นปัญหาและน่ากังวล จึงสำคัญกว่าการยึดติดกับมาตรวัดเพียงอย่างเดียว การมองย้อนกลับไปเพื่อเรียนรู้จากบทเรียนของประเทศอื่น ๆ ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ เมื่อทุกท่านเข้าใจเงินเฟ้อแบบต่าง ๆ มากขึ้นแล้ว คงทำให้สบายใจได้ว่าเงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับต่ำตอนนี้ ไม่ได้เข้าข่ายวิกฤตทั้งหมดที่กล่าวมา โดยเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเป็นผลมาจากปัจจัยด้านอุปทานที่ต้นทุนสินค้าบางประเภทลดลงเท่านั้น ที่สำคัญ ธปท. ยังคอยดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจของไทยในแต่ละช่วงเวลาอยู่เสมอ
อ้างอิง :
1 เนื่องจากเงินเฟ้อสูงมากจนไม่สามารถประมาณค่าได้อย่างเที่ยงตรง และการที่ตัวเลขประมาณการของแต่ละสำนักไม่ตรงกันและมีค่าแตกต่างกันมากก็เป็นตัวชี้วัดหนึ่งของความไร้เสถียรภาพที่เกิดขึ้น ดูตัวอย่างข้อถกเถียงได้ที่ https://www.cato.org/commentary/venezuelas-hyperinflation-hits-80000-year-2018
2 ที่มาข้อมูล https://www.economist.com/the-americas/2018/08/25/a-rude-reception-awaits-many-venezuelans-fleeing-their-country
3 https://www.economicshelp.org/blog/390/inflation/hyper-inflation-in-zimbabwe/
4 อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่ใช่ธนาคารกลางแห่งแรกที่ใช้ดอกเบี้ยนโยบายติดลบ ก่อนหน้านี้ในปี 2014 ธนาคารกลางแห่งยุโรปเคยประกาศดอกเบี้ยนโยบายติดลบเพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปมาก่อนแล้ว