ทำความเข้าใจ “กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ” ในชีวิตจริง
เคยรู้สึกไหม…รายได้เท่าเดิม แต่เงินในกระเป๋ากลับไม่พอใช้ สรุปแล้วเราใช้เงินเปลือง หรือข้าวของแพงขึ้นกันแน่?
จริง ๆ คำตอบอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “เงินเฟ้อ” ซี่งเป็นตัวกำหนดว่าเงินในกระเป๋า จะจับจ่ายใช้สอยได้น้อยลงแค่ไหนเวลาที่ของแพงขึ้น หรือจะใช้จ่ายได้มากขึ้นหากราคาถูกลง
แล้วรู้หรือไม่ว่า ธนาคารกลางมีเครื่องมือที่ใช้สำหรับ “ดูแล” เงินเฟ้อในระยะยาวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม นั่นก็คือ “กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ” ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อให้กิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
มาเรียนรู้เรื่องราวของ “กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ” กันให้มากขึ้นผ่านบทความนี้ เรามาดูกันว่า กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อจะมีผลต่อระดับเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิตของพวกเราอย่างไรบ้าง
รู้ไหมว่า ถ้าไม่มีกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อหรือกรอบไม่มีประสิทธิภาพ จนทำให้เงินเฟ้อสูงหรือต่ำค้างนานจะเกิดอะไรขึ้น?
แน่นอนว่า ถ้าเงินเฟ้อสูงมากเป็นเวลานาน ๆ ราคาแพงขึ้นต่อเนื่อง ก็ย่อมทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น และทำให้ตั้งราคาขายยาก เพราะหากขึ้นราคามากไปลูกค้าก็อาจไม่อยากซื้อ แต่ถ้าไม่ขึ้นราคาก็อาจจะขาดทุนหรือได้กำไรลดลง ทำให้ธุรกิจวางแผนลงทุนได้ยาก ขณะเดียวกันราคาที่สูงขึ้นยังบั่นทอนกำลังซื้อของครัวเรือน ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น
ในทางกลับกัน กรณีที่เงินเฟ้อต่ำลากยาว ประชาชนก็อาจชะลอการซื้อออกไปเพราะคาดว่าราคาสินค้าจะถูกลงไปอีก ทำให้ผู้ประกอบการขายของได้น้อยลง ซึ่งผลกระทบเช่นนี้ ก็อาจทำให้บริษัทไม่กล้าลงทุน หรือลดการจ้างงาน ซึ่งสุดท้ายก็จะวนกลับมาเป็นผลเสียต่อภาคครัวเรือนด้วย
เราคงพอเห็นภาพแล้วว่า ภาวะเงินเฟ้อที่สูงและต่ำมากเกินไปที่เกิดขึ้นนาน ๆ จะเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพและการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าอย่างไร ดังนั้น ระดับเงินเฟ้อที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทำให้หลายประเทศมีการกำหนด “กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ” เอาไว้เพื่อใช้ในการดูแลระดับเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งหน้าที่ของกรอบ คือการเป็นหลักยึดให้เงินเฟ้อคาดการณ์ เพราะหากคนส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าธนาคารกลางคอยดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบ ก็จะไม่เกิดความตื่นตระหนกไปตามปัจจัยระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่น กรณีราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้น แต่หากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับขึ้นราคาเพราะเชื่อว่าธนาคารกลางดูแลอยู่ ก็จะทำให้เงินเฟ้อไม่สูงค้างนานและคลี่คลายไปได้ในที่สุด
ประเทศส่วนใหญ่รวมถึงไทยมักกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อโดยอ้างอิงกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไป หรือ headline inflation เนื่องจากมีความครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าและบริการทุกชนิดในตลาด ซึ่งรวมถึงหมวดที่ผันผวนสูงอย่างพลังงานและอาหารสดด้วย จึงสามารถสะท้อนค่าครองชีพของประชาชนได้ดีกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (core inflation) ซึ่งตัดสินค้าสองกลุ่มนี้ออกไป
สำหรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่เหมาะสมนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับกระทรวงการคลังจะร่วมกันกำหนดขึ้นภายในเดือนธันวาคมของทุกปี เพื่อใช้เป็นกรอบในการดูแลระดับเงินเฟ้อของปีถัดไป โดยกรอบที่เหมาะสมจะต้องสามารถรักษาให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป อีกทั้งควรสอดคล้องกับลักษณะโครงสร้างของเศรษฐกิจด้วยโดยการที่ไทยเลือกใช้กรอบเป้าหมายในระยะปานกลางแบบช่วงที่ 1-3% มาตั้งแต่ปี 2563 เป็นเพราะว่ากรอบนี้ทำหน้าที่ได้ดีมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงเงินเฟ้อสูงที่ผ่านมา กรอบเงินเฟ้อมีส่วนสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อซึ่งสูงขึ้นไปเกือบ 8% ในเดือนสิงหาคม 2565 สามารถกลับลงมาเข้ากรอบได้ในเวลาเพียงแค่ 7 เดือน ซึ่งถือว่าค่อนข้างเร็วมากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
นอกจากนี้ สาเหตุที่ไทยเลือกใช้กรอบเป้าหมายแบบช่วง เป็นเพราะว่ากรอบแบบช่วงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นที่จะทำให้กรอบสามารถรองรับความผันผวนระยะสั้นของเงินเฟ้อไทยได้ เพราะไทยมักเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยด้านอุปทานบ่อยครั้งเนื่องจากเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กและมีความเชื่อมโยงกับต่างประเทศสูง ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกส่งผลต่อระดับเงินเฟ้อในบ้านเราค่อนข้างมาก ที่สำคัญราคาสินค้าเกษตรยังผันแปรไปตามปริมาณสภาพดินฟ้าอากาศในแต่ละช่วงอีกด้วย
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า กรอบเงินเฟ้อที่กำหนดขึ้นมานี้เป็นเป้าหมายระยะปานกลาง (ประมาณ 3-5 ปี) อัตราเงินเฟ้อจึงสามารถออกนอกกรอบเป้าหมายได้ หากเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วคราวในระยะสั้น
ดังนั้น เงินเฟ้อหลุดกรอบเป้าหมายจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวลเสมอไป เพราะอาจมาจากการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสินค้าแค่บางหมวดที่คลี่คลายเองได้ ยกตัวอย่างเช่น กรณีของไทย ที่แม้ว่าเงินเฟ้อจะค่อนข้างต่ำมาต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (เดือนสิงหาคม 2567-กรกฎาคม 2568) อยู่ที่ 0.5% เท่านั้น แต่หากดูสาเหตุจะเห็นว่า เป็นผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลง และมาตรการลดค่าไฟฟ้าของภาครัฐที่ทำให้ราคาสินค้ากลุ่มพลังงานหดตัว (-0.2%) รวมถึงราคาอาหารสดที่ค่อนข้างคงที่ (0.1%) เพราะสภาพอากาศที่ดีซึ่งทำให้มีปริมาณผลผลิตทางการเกษตรออกมาจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป คาดว่าปัจจัยเหล่านี้จะสามารถคลี่คลายไปเองได้
นอกจากนี้ หากดูที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ตัดสินค้ากลุ่มพลังงานและอาหารสดออกไปแล้วก็จะพบว่า เงินเฟ้อยังคงเพิ่มขึ้นได้ที่ 0.6% ซึ่งใกล้เคียงกับขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1% ซึ่งหมายความว่า ราคาสินค้าไม่ได้ปรับราคาลดลงในวงกว้าง ขณะที่ราคาข้าวของอย่างอื่นยังปรับขึ้นอยู่ เช่น อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุง เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพียงแต่อาจปรับราคาเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนักมากกว่า ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว รวมถึงเป็นผลจากปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตของไทยที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากสินค้านำเข้านั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เงินเฟ้อไทยที่ต่ำในช่วงที่ผ่านมายังช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน เพราะทำให้ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้าที่เงินเฟ้อสูง ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากเท่าไรนักในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตช้า และครัวเรือนที่มีภาระหนี้สูงอยู่แล้ว นอกจากนี้ เงินเฟ้อต่ำยังช่วยรักษาขีดความสามารถการแข่งขันด้านราคาให้กับภาคธุรกิจอีกด้วย ที่สำคัญ เงินเฟ้อต่ำยังไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ภาคเอกชนไม่อยากลงทุน เพราะจากการสำรวจธุรกิจกว่า 570 ราย พบว่า อุปสรรคสำคัญคือความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการแข่งขันที่สูงมากกว่า
มาถึงตรงนี้ ผู้อ่านอาจสงสัยแล้วว่า แล้วเงินเฟ้อที่หลุดออกจากกรอบเป้าหมายแบบไหนที่น่ากังวล?
อันที่จริงแล้ว สัญญาณอันตรายของเงินเฟ้อหลุดกรอบก็คือ ความยืดเยื้อของสถานการณ์ที่กระทบต่อมุมมองด้านราคาและพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจให้เปลี่ยนไปจากปกติ ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่เงินเฟ้อสูงมากต่อเนื่อง จนคนส่วนใหญ่เชื่อว่าราคาจะแพงขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ และทำให้ครัวเรือนพากันกักตุนสินค้า ผู้ประกอบการเร่งซื้อวัตถุดิบล่วงหน้า และปรับขึ้นราคาสินค้าต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ภาวะเงินเฟ้อสูงนี้ยืดเยื้อออกไปอีก หรืออย่างในกรณีที่เงินเฟ้อต่ำมากนาน ๆ ก็จะทำให้ครัวเรือนชะลอการซื้อสินค้าออกไปเพราะคิดว่าราคาจะถูกลงอีก ส่วนร้านค้าที่ขายของได้น้อยลงก็จะปรับลดราคาลงอีก กลายเป็นวงจรเงินเฟ้อต่ำที่ลากยาวออกไป และอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืดได้
แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นเครื่องมือสำคัญหนึ่งที่ธนาคารกลางใช้ในการดูแลเงินเฟ้อให้สอดคล้องกรอบเป้าหมายก็ตาม แต่รู้หรือไม่ว่า การใช้อัตราดอกเบี้ยก็มีข้อจำกัด การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับสาเหตุและความยืดเยื้อของปัญหา
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อัตราดอกเบี้ยไม่ได้มีผลโดยตรงต่อภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยด้านต้นทุน ยกตัวอย่างเช่น กรณีเงินเฟ้อสูงจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น เพราะแม้ว่าธนาคารกลางจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็ไม่อาจทำให้ราคาพลังงานลดลงมาได้ เนื่องจากเป็นเรื่องของทิศทางราคาในตลาดโลก ที่สำคัญปัจจัยด้านต้นทุนเหล่านี้ก็มักจะจะคลี่คลายไปเอง นอกจากนี้ การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับความเดือนร้อนโดยตรง เช่น มาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล มาตรการลดภาระหนี้ ก็มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่าด้วย
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยจะมีบทบาทเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้หากมีสาเหตุมาจากปัจจัยด้านความต้องการ ยกตัวอย่างเช่น ภาวะเงินเฟ้อสูงและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นในวงกว้าง ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของประชาชนและธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ในกรณีเช่นนี้ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะช่วยทำให้ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น และทำให้ความต้องการของภาคธุรกิจและครัวเรือนลดลงไปได้ เงินเฟ้อในภาพรวมก็จะลดลงนั่นเอง
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ “กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ” ซึ่ง ธปท. หวังว่า จะช่วยทำให้ทุกท่านสามารถเข้าใจเรื่องราวของเงินเฟ้อที่มีผลต่อบริบททางเศรษฐกิจกันมากขึ้น และทำให้รู้ว่า “กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ” ที่ฟังดูเป็นเรื่องยากนี้ แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่าที่คิด และมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการวางแผนทางการเงินของพวกเราทุกคน
เรื่อง : พัฒน์นรี อุตมะ
ผู้วิเคราะห์อาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร