ครูสตางค์ปล่อยของปีที่ 2

ระดมพล(ครู)เสริมสร้างสมรรถนะทางการเงินให้เด็กไทย

ครูสตางค์ปล่อยของปีที่ 2 ระดมพล(ครู)เสริมสร้างสมรรถนะทางการเงินให้เด็กไทย

ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดทักษะทางการเงินที่ดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างทักษะทางการเงินแก่ประชาชนมาโดยตลอด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่จะเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป โดย ธปท. ได้เดินหน้าต่อยอดโครงการ “ครูสตางค์” มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2566 เพื่อสร้างครูต้นแบบด้านการเรียนการสอนเรื่องการเงิน ที่ไม่เพียงแค่สอนให้เข้าใจง่าย สนุก แต่ยังช่วยปลูกฝังนิสัยทางการเงินที่ดีให้แก่เด็ก ๆ อย่างยั่งยืน

 

พระสยาม BOT MAGAZINE ขอชวนท่านผู้อ่านไปติดตามการขยายผลในการสร้างครูสตางค์และห้องเรียนการเงินให้เกิดขึ้นจริงผ่านเวทีเสวนาและการนำเสนอผลงานของครูสตางค์ จากงาน “ครูสตางค์ปล่อยของ” ซึ่งจัดเป็นปีที่ 2 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ที่ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย

ดร.ดารณี แซ่จู

สร้างสมรรถนะทางการเงินให้เด็กไทยผ่านพื้นที่การเรียนรู้ในโรงเรียน

 

ในโลกที่การใช้จ่ายอยู่เพียงแค่ปลายนิ้ว และการเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในห้องเรียนอีกต่อไป “สมรรถนะทางการเงิน” หรือความสามารถในการนำความรู้ความเข้าใจทางการเงินไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง กลายเป็น “ทักษะชีวิต” ที่เด็กไทยทุกคนต้องมี

 

บนเวที “ครูสตางค์ปล่อยของ” ในหัวข้อ “สร้างสมรรถนะการเงินที่ดีให้เด็กไทยด้วยพื้นที่การเรียนรู้ในโรงเรียน” เป็นการถ่ายทอดให้เห็นถึงความสำคัญของการปลูกฝังความรู้ทางการเงิน จากผู้กำหนดนโยบาย ผู้บริหาร หรือคุณครู ที่ล้วนมีความสำคัญในการสร้างสมรรถนะทางการเงินให้กับเด็กไทยทุกคน
 

panel discussion 1

ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในฐานะผู้ดำเนินนโยบายด้านการศึกษาของประเทศจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับการเงินในหลักสูตรแกนกลางของประเทศอยู่แล้ว แต่จากการสำรวจความคิดเห็นผ่านแบบสอบถามออนไลน์ทั่วประเทศในปี 2567 พบว่า 90% ของนักเรียนต้องการเรียนเกี่ยวกับความรู้ทางการเงิน แสดงว่าเด็กอาจจะไม่รู้ว่ากำลังเรียนอยู่ ดังนั้น โจทย์ของเราคือจะทำอย่างไรให้การเรียนเหล่านี้นำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน โรงเรียนจึงต้องปรับการเรียนการสอนและจัดบรรยากาศการเรียนรู้ให้น่าสนใจ สนุก และนำไปใช้ได้จริง

 

สิ่งที่ สพฐ. ต้องการเห็นคือ "ความกล้า" ดร.เกศทิพย์ชี้ว่า หลักสูตรมีอยู่แล้ว สิ่งที่เหลือคือการนำมาปรับใช้จริง โรงเรียนและครูควรกล้าเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนการสอน เพราะหลักสูตรแกนกลางของประเทศนั้นยืดหยุ่นและสามารถบูรณาการได้ทั้งหมด โรงเรียนสามารถนำเรื่องการเงินมาใช้เพื่อเติมเต็มและกำหนดจุดเน้นของแต่ละโรงเรียนให้เหมาะสมกับบริบทของตนเองได้ เช่น การสร้างเป็นรายวิชาเพิ่มเติม การจัดเป็นโครงการชุมนุมแนะแนว หรือการสอดแทรกในวิชาอื่น ๆ เพราะเนื้อหาทางการเงินสามารถสอดแทรกได้ทุกวิชา ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่เพียงแค่สาระเศรษฐศาสตร์ในวิชาสังคมศึกษาเท่านั้น

 

“เด็กทุกคนต้องจับเงิน ดังนั้นการบริหารจัดการเงินอย่างชาญฉลาดจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นของเขา ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยเกษียณ ในทุกช่วงชีวิตก็ต้องบริหารจัดการการเงิน ปัจจุบันไม่ใช่แค่เด็กอย่างเดียวที่ต้องเรียนรู้ด้านการเงิน แต่ทุกคนต้องเตรียมตัว ต้องเรียนรู้ในการจับเงินเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างความมั่นคงในชีวิตตนเองและครอบครัวได้” ดร.เกศทิพย์ทิ้งท้าย

เกศทิพย์ ศุภวานิช

ทางด้าน รศ.นพ.วรัญ ตันชัยสวัสดิ์ ผู้รับใบอนุญาตและผู้จัดการโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ จ.สงขลา ในฐานะผู้บริหารโรงเรียนเสริมว่า สถานศึกษาควรยกให้เรื่องการเงินเป็นรายวิชาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อให้เด็ก ๆ เรียนรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การเรียนรู้เรื่องการเงินอย่างเป็นระบบจะช่วยให้เด็ก ๆ สามารถวางแผน จัดการ และตัดสินใจเรื่องการเงินได้อย่างชาญฉลาดและเป็นรากฐานสำคัญในการปูพื้นไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต นอกจากนี้ยังมองว่า หลักสูตรการเรียนการสอนนั้น สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับบริบทของแต่ละโรงเรียนได้

 

“ไม่ใช่เฉพาะครูสังคมที่จะสอนเรื่องการเงิน แต่ครูเคมี ครูคณิตศาสตร์ ก็สามารถช่วยกันสอนได้ อย่าไปยึดกับกรอบว่าเรื่องการเงินต้องอยู่ในวิชาเศรษฐศาสตร์ และครูเศรษฐศาสตร์เท่านั้นที่ต้องเป็นคนสอน แต่ครูทุกคนสามารถสอนได้ เพราะเป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน เรื่องของการเอาตัวรอด”

 

ครูร่มเกล้า ช้างน้อย หรือ “ครูกั๊ก” จากโรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ จ.นครสวรรค์ เป็นหนึ่งในครูต้นแบบที่เป็นกำลังสำคัญในการช่วยบ่มเพาะสมรรถนะทางการเงินให้แก่เด็ก ๆ ครูกั๊กเล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นการเป็นครูสตางค์ของตนเองนั้นมาจากความล้มเหลวในการลงทุนในหุ้น ทำให้หันมาศึกษาเรื่องการเงินตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน และทำให้เห็นข้อผิดพลาดของตนคือการที่รีบเร่งเกินไป เรายังไม่สามารถจัดการการเงินขั้นพื้นฐานของเราได้เลย แต่ข้ามไปลงทุนแล้ว

 

ประกอบกับตอนนั้นย้ายไปเป็นครูที่โรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ และเจรจาขอสอนวิชาการเงินให้นักเรียนแทนวิชาคณิตศาสตร์ได้ จึงตั้งใจทำ financial book เพื่อเป็นสื่อการสอนเรื่องการเงินให้เด็ก ๆ โดยยึดการเรียนการสอนแบบบรรยายเป็นหลัก เพราะกลัวว่าถ้าสอนไม่ตรงตามที่เรียนมา อาจทำให้เนื้อหาไม่ถูกต้อง แต่กลายเป็นว่าสอน ๆ ไปเด็กก็เบื่อ จนตอนหลังจึงได้หันมาใช้หลัก “3C” ในการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ (1) copy เลียนแบบการเรียนการสอนที่มีอยู่แล้ว (2) cover นำสิ่งที่เลียนแบบมาประยุกต์ใหม่ให้เข้ากับบริบทของนักเรียนและห้องเรียนมากขึ้น เหมือนการร้องเพลงของศิลปินที่มีอยู่แล้ว แต่เอามาร้องในแนวทางของตนเอง และ (3) creative ผสมผสานกิจกรรมต่าง ๆ มาสู่การเรียนรู้ใหม่ ๆ ด้วยวิธีการเหล่านี้ทำให้การเรียนการสอนของครูกั๊กเปลี่ยนจากการสอนแบบบรรยายอย่างเดียว มาสู่การเรียนรู้ผ่านเกมและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เกมใครอยากเป็นเศรษฐี เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนานในห้องเรียน

รู้เท่าทันสื่อ รู้เท่าทันเงิน : ภูมิคุ้มกันของเด็กยุคดิจิทัล

 

ในยุคที่สื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมากต่อพฤติกรรมการบริโภคและทัศนคติของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ประเด็นเรื่องความเท่าทันทางการเงิน (financial literacy) และความเท่าทันสื่อ (media literacy) จึงมีความสำคัญยิ่ง และถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยบนเวทีครูสตางค์ปล่อยของ ในหัวข้อ “เด็กไทยจะมีการเงินที่ดีได้อย่างไร? เมื่อสื่อคือครูคนสำคัญ”

รู้เท่าทันสื่อ รู้เท่าทันเงิน : ภูมิคุ้มกันของเด็กยุคดิจิทัล

ดร.ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว THE STANDARD ผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อมากว่า 17 ปี ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ มองว่าอิทธิพลของสื่อหลักกำลังลดลง และสื่อออนไลน์มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน เห็นได้จากผลสำรวจล่าสุดของรอยเตอร์สในปี 2568 ชี้ว่า คนไทยกว่า 88% รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อออนไลน์เป็นหลัก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อายุ 18-34 ปี นิยมเสพสื่อผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น TikTok ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น สื่อจึงมีบทบาทอย่างมาก ยิ่งปัจจุบันคนเริ่มสนใจเรื่อง self-improvement และความรู้ทางการเงินเพิ่มขึ้น เช่น การจัดการบัตรเครดิต เครดิตบูโรคืออะไร  หรือหนี้ครัวเรือน การมี media literacy ในการเลือกเสพสื่อ ควบคู่ไปกับ financial literacy จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะสร้างความตระหนักรู้ให้ทุกคนรู้จักการวางแผนการเงินที่ดีขึ้นได้

คุณนมนต์ นฤขัตพิชัย content creator และ YouTuber เจ้าของช่อง MonaMaison เล่าว่า จากประสบการณ์ส่วนตัวตั้งแต่เริ่มทำคลิป YouTube เกี่ยวกับการพัฒนาตนเองหลากหลายเรื่อง พบว่าเรื่องการเงินเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่องของตน โดยคลิปแรกที่กลายเป็นไวรัล คือ คลิปที่เกี่ยวกับการเก็บเงินล้านแรก ทำให้เธอมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“เรื่องการเงินมันเป็นเรื่องของทุกคนจริง ๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องคนที่ลงทุน หรือคนที่เก่งการเงินเท่านั้น การไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่ฝันไว้อาจไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีเป้าหมายทางการเงินทั้งระยะสั้นและระยะยาว มีวิธีการจัดการการเงินส่วนตัวที่มีการแยกกระเป๋าสำหรับเก็บออมและใช้จ่าย และต้องเก็บออมก่อนแล้วค่อยใช้”

 

คุณนมนต์ มองว่า นอกจากครู พ่อแม่ ผู้ปกครองแล้ว สื่อมีอิทธิพลต่อเด็กมากในการเรียนรู้เรื่องการเงิน บางครั้งเด็กอาจเชื่อ influencer มากกว่าครอบครัวก็ได้ ดังนั้น สื่อเองก็ต้องมีจรรยาบรรณ รวมถึงคนที่เสพสื่อก็ต้องแยกแยะได้ด้วย

 

 

ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น หรือ “ครูเติ้ล” เสริมว่า “สื่อสามารถเป็นครูคนสำคัญที่ทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้พฤติกรรมต่าง ๆ ทั้งดีและไม่ดี แต่สิ่งสำคัญคือการไม่มองโลกออนไลน์เป็น “ศัตรู” แต่ให้มองเป็น “เพื่อน” หรือ “เครื่องมือ”

 

บทบาทของพ่อแม่เป็นส่วนสำคัญในการบ่มเพาะทัศนคติทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยที่เด็กยังเล็ก พ่อแม่จะเป็นแบบอย่างที่สำคัญที่สุด เพราะเด็กเรียนรู้จากการสังเกต ไม่ใช่แค่คำพูด หากพ่อแม่บอกลูกไม่ให้ใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่ตนเองก็ชอปปิงออนไลน์ตลอดเวลา เด็กก็จะเรียนรู้จากพฤติกรรมที่เห็นมากกว่า นอกจากนี้ อย่าปล่อยให้ลูกดูสื่อออนไลน์เพียงลำพัง ต้องดูไปพร้อมกับเขา และคอยสอนไปด้วย

 

สำหรับวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่เชื่อเพื่อนและสื่อออนไลน์มากกว่าพ่อแม่ จึงต้องหาโอกาสพูดคุยกับลูกเสมอ ให้เขารู้ว่าเรายืนอยู่ข้างเขา เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับเขา ไม่ว่าลูกโตแค่ไหนก็ตาม การเงินคือ “ภูมิคุ้มกันชีวิต” ที่ต้องเริ่มต้นจาก “บ้าน”

 

คุณครูและผู้ปกครองเยี่ยมชมบูทในงานครูสตางค์

คุณครูและผู้ปกครองเยี่ยมชมบูทในงานครูสตางค์ปล่อยของ

ครูสตางค์ ปลุกพลังห้องเรียนการเงิน สร้างภูมิคุ้มกันสู่ชีวิตจริง

 

นอกเหนือจากการเสวนาใน 2 หัวข้อข้างต้น บนเวทีครูสตางค์ปล่อยของ ยังมีครูสตางค์ต้นแบบจากทั่วประเทศขึ้นมาถ่ายทอดประสบการณ์การสร้าง “ห้องเรียนการเงิน” พร้อมแรงบันดาลใจที่แตกต่างแต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ สร้างทักษะทางการเงินให้เด็กไทยทุกคน

 

ครูพาย-ดุจเดือน ศักดิ์วงศ์ โรงเรียนชานุมานวิทยาคม จ.อำนาจเจริญ ซึ่งเชื่อในการเรียนรู้ผ่านการเล่นบอร์ดเกมและการสอนเรื่องการเงินในวิชาเลือกเสรี เล่าว่า ครูหลาย ๆ คนเองก็ไม่มีโอกาสเรียนรู้เรื่องการเงินเช่นกัน หลายคนยังจัดการการเงินของตัวเองไม่ได้ ทำให้ครูส่วนใหญ่ขาดความมั่นใจในการสอนการเงิน

 

“การที่เราไม่รู้เรื่องการเงินมันน่ากลัวยิ่งกว่าการที่เราไม่รู้หนังสือ ดังนั้นการสอนให้นักเรียนมีความรู้ทางการเงิน รู้จักวางแผนชีวิตอาจทำให้เขาไม่ต้องเริ่มจากติดลบแบบพวกเรา” ครูพายกล่าว

 

 

ครูฟิว-อชิตะ กิตติวัณณะกุล โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ถ่ายทอดบทเรียนการเงินให้นักเรียน ป.4 ผ่านการเล่นและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กิจกรรม entrepreneur ที่ให้เด็กเป็นผู้ประกอบการ ลองขายสินค้าในสถานการณ์ต่าง ๆ หรือให้เงิน 100 บาทแล้วตั้งโจทย์ว่าใช้อย่างไรให้คุ้มค่า เมื่อเจอคำถามจากผู้ปกครองว่า “เด็กเล็กเกินไปไหม?” แต่ครูฟิวยืนยันว่า “ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งดี” เพราะการปลูกฝังทัศนคติเรื่องการใช้จ่ายตั้งแต่ต้นคือการสร้างรากฐานที่มั่นคง การเรียนอาจไม่ต้องเริ่มที่ตำราหนา ๆ แต่เลือกพาเด็ก ๆ เรียนรู้ผ่านการเล่นได้

 

 

ครูใบเตย-ปวิตตรา กวางทอง โรงเรียนวัดป่าเรไร จ.พิจิตร ถ่ายทอดสภาพจริงของนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาส1 ที่ต้องออกไปทำงานทันทีหลังจบ ม.3 ครูใบเตยเปรียบให้เห็นว่า “การส่งนักเรียนออกไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงโดยไม่มีความรู้ทางการเงิน เสมือนส่งนักรบออกไปสู่สนามรบโดยไม่มีโล่ อาวุธ ไม่มีแม้ทักษะการต่อสู้ใด ๆ เพราะโลกแห่งความเป็นจริงเต็มไปด้วยค่าใช้จ่ายมากมาย ดังนั้น เด็ก ๆ ควรได้รับการเตรียมพร้อมและเรียนรู้การบริหารจัดการการเงินได้ก่อนลงสู่สนามจริง” โดยครูใบเตยเน้นสอนเรื่องการออม และแยกแยะของฟุ่มเฟือยกับของจำเป็น รวมถึงสอนว่าในชีวิตอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ จึงต้องออมเงินไว้เผื่อฉุกเฉิน

 

 

ครูช่อ-ช่อทิพย์ นิมิตกุล วิทยาลัยเทคโนโลยีและสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งคนที่ทุ่มเทในการสอนการเงินให้กับเด็ก ๆ ผ่านการสร้างห้องเรียนการเงินของตัวเอง โดยเชื่อว่าความรู้ทางการเงินไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงห้องเรียนใดห้องเรียนหนึ่งเท่านั้น แต่สามารถถ่ายทอดผ่านการสร้างนักเรียนเป็น Change agent ส่งต่อความรู้ทางการเงินระหว่างนักเรียนด้วยกันเองแบบ “เพื่อนสอนเพื่อน พี่สอนน้อง” ทำให้เด็กวัยเดียวกันสามารถแบ่งปันประสบการณ์ทางการเงินกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการให้ครูมานั่งสอนในห้องเรียน

 

 

ครูโดโด้-กานต์ทิวา สากระจาย โรงเรียนโขงเจียมวิทยาคม จ.อุบลราชธานี มองว่า ครูไม่จำเป็นต้องห้ามเด็กใช้สื่อ แต่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้พวกเขาเสพสื่ออย่างรู้เท่าทัน รวมถึงใช้สื่อเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ศัตรู โดยครูไม่จำเป็นต้องตามทันทุกเทคโนโลยีเสมอไป แต่ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้และก้าวทันทุกย่างก้าวของเด็ก และทั้งหมดนี้ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เรียกว่า “ครอบครัว” ที่เป็นคนใกล้ชิด การมีพ่อแม่คอยโอบอุ้ม ให้คำปรึกษาด้านการเงินแก่เขา และลองผิดลองถูกไปกับเขา เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เด็กรู้ทันสื่อและมีทักษะทางการเงินที่ดี

บอร์ดเกม

บอร์ดเกม อีกหนึ่งสื่อการเรียนรู้ที่นิยมนำมาใช้สอนเกี่ยวกับความรู้ทางการเงินให้เด็ก ๆ

ห้องเรียนจำลองทางการเงิน (Demo Class) จากการเรียนรู้สู่การปฏิบัติจริง

 

อีกหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานครูสตางค์ปล่อยของ คือ Demo Class ห้องเรียนจำลองสาธิตเรื่องการสอนด้านการเงิน โดยผู้ร่วมงานสามารถเลือกห้องที่ตนเองสนใจ เพื่อเข้าร่วมเป็นผู้เรียน เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนการสอนด้านการเงิน

 

 

เริ่มกันที่ห้องเรียนเพื่อความรู้ทัน - Demo Class 1 : “มิตร” หรือ “มิจ” พิชิตแผนลวง โดยครูป๊อป-เพ็ญพิชชา วงษาแก้ว โรงเรียนปรินส์รอแยลส์วิทยาลัย 

 

ครูป๊อปสอนวิธีแยกแยะมิจฉาชีพโดยยกตัวอย่างมา 2 เคสเทียบกัน เช่น Facebook Fanpage ที่มีทั้งจริงและปลอม และ SMS ที่ดูเผิน ๆ เหมือนว่าส่งจากธนาคารทั้ง 2 ข้อความ แล้วให้นักเรียนในห้องช่วยกันตอบว่าเคสไหนน่าจะเป็นมิจฉาชีพตัวจริง เพราะอะไร

 

นอกจากนี้ คุณครูก็มีการนำ Comprehension Financial Prevention Model Canvas (CFPMC) มาใช้ โดยโมเดลดังกล่าวจะแบ่งเป็นหัวข้อต่าง ๆ ให้นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์และเติมข้อมูลลงไป เช่น รูปแบบและ กลโกงที่มิจฉาชีพใช้ กลุ่มเป้าหมายของมิจฉาชีพ วิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ หน่วยงานที่จะให้ความช่วยเหลือ  โดยกิจกรรมทั้งสองนี้จะทำให้นักเรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์ ไม่ต้องท่องจำ เนื่องจากภัยการเงินมีได้หลากหลายรูปแบบ

Demo class 1

ห้องเรียนสุดท้าทาย - Demo Class 2 : วางแผนเป็น เห็นอนาคต เกมจำลองจัดสรรเงิน โดยครูวุฒิ-วุฒิพงษ์ เทียมทอง โรงเรียนถ้ำปินวิทยาคม

 

ครูวุฒิพาไปเรียนรู้แบบไม่จำเจผ่านเกมจำลองการจัดสรรเงินที่เหมาะกับนักเรียน ม.3 ขึ้นไป ผู้เล่นทุกคนจะได้รับกระดาษบันทึกรายรับ-รายจ่ายที่มีเงินเริ่มต้น 10,000 บาท ก่อนครูวุฒิจะเปิดช่วงให้นักเรียนเลือกลงทุนและทำงานเพื่อหารายได้ ต่อด้วยเลือกใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการ ปิดท้ายด้วยเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดฝันที่ทำให้หลายคนต้องเสียเงินจำนวนมากเหมือนสถานการณ์ในชีวิตจริง เกมนี้จะช่วยให้นักเรียนรู้จักจัดสรรเงิน หารายได้ นอกจากนี้ยังให้ความรู้พื้นฐานของการออมและการลงทุน ที่สำคัญเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้การทำรายรับ-รายจ่ายที่การันตีความสนุกผ่านคำชมของครู-อาจารย์ที่เข้าร่วมทดลองเรียนในคลาส และจะนำไปปรับใช้ในห้องเรียนของตัวเองต่อไป

วางแผนเป็น เห็นอนาคต เกมจำลองจัดสรรเงิน

ห้องเรียนสนุก Demo Class 3 : Rock Your Retirement เกษียณสไตล์ใด๋ที่ปัง โดยครูเงินปอนด์-ชญานิ หาญรบ โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร

 

ครูเงินปอนด์แบ่งกลุ่มนักเรียนและแจกการ์ดเกมที่ระบุข้อมูลพื้นฐานตัวละคร เช่น อายุ รายได้ รายจ่าย เป้าหมายเกษียณที่อายุเท่าไร อยากมีเงินใช้เดือนละเท่าไร เพื่อให้ลองใช้สูตรมาคำนวณว่าตัวละครนั้นจะต้องมีเงินตอนเกษียณเท่าไร และจากเป้านั้นต้องมีเงินออมเดือนละเท่าไร เมื่อลบค่าใช้จ่ายจากโจทย์แล้วเพียงพอหรือไม่ หากไม่พอ ครูจะชวนคิดต่อว่ามีทางเลือกอย่างไรบ้าง เช่น ลดรายจ่าย หารายได้เพิ่ม เปลี่ยนอาชีพ หรือต้องลงทุนเพิ่มอย่างไรได้บ้าง เกมนี้จะช่วยให้นักเรียนรู้จักตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้มากขึ้น โดยคำนึงถึงบริบทของตัวเอง และรู้จักวางแผนออมหรือปรับทิศทางชีวิตแต่เนิ่น ๆ เพราะยิ่งวางแผนเกษียณเร็วก็ยิ่งมีประโยชน์ และชีวิตจริงอาจมีอุปสรรคหรือเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้นได้ตลอด

Rock Your Retirement เกษียณสไตล์ใด๋ที่ปัง โดยครูเงินปอนด์-ชญานิ หาญรบ โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร

ปิดท้ายด้วยห้องเรียนเสมือนจริง Demo Class 4 : คิดก่อนซื้อ ใช้เงินให้ฉลาด! โดยครูชนันท์-ชนันท์ณิฏฐา คุณะเวคินสกุล โรงเรียนเมืองแพร่ 

 

ครูชนันท์ได้จำลองสถานการณ์ด้วยการพานักเรียนชั้น ม.2 ไปทัศนศึกษา และให้เบี้ยเลี้ยงกลุ่มละ 500 บาท เพื่อใช้ซื้อของต่าง ๆ ในช่วงพักรถตอนเช้าและตอนเที่ยง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำดื่ม ขนม หรือของใช้ ก่อนที่จะได้รับโจทย์ที่เป็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดเพิ่มเติมในช่วงเย็น นั่นก็คือ ถนนถูกตัดขาดจากเหตุการณ์ฝนตกหนักและน้ำป่าไหลหลาก ซึ่งทำให้นักเรียนต้องเลือกซื้อของจำเป็นเพิ่มเติมจากเงินที่เหลืออยู่ ห้องเรียนนี้ช่วยฝึกให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์แยกแยะระหว่างของที่อยากได้ (want) และของที่จำเป็น (need) รวมถึงการฝึกประสบการณ์ในการตัดสินใจร่วมกันในสังคมและเรียนรู้เกี่ยวกับค่าเสียโอกาสที่เกิดจากการเลือกของตนเองอีกด้วย

Demo Class 4 : คิดก่อนซื้อ ใช้เงินให้ฉลาด! โดยครูชนันท์-ชนันท์ณิฏฐา คุณะเวคินสกุล โรงเรียนเมืองแพร่

สำหรับใครที่สนใจอยากจะลองสอนเรื่องการเงินให้เด็ก ๆ บ้าง สามารถเข้าไปหาไอเดียได้ที่หน้าเพจสตางค์ School แหล่งรวบรวมสื่อการสอนและตัวอย่างการสร้างห้องเรียนการเงินที่สามารถนำไปพัฒนาและประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสมของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงวัย

 

 

สุดท้ายนี้ ธปท. เชื่อว่า การรวมพลังของครูสตางค์ในการสร้าง “ห้องเรียนทางการเงิน” ให้เกิดขึ้นจริงในระบบการศึกษาไทยนี้จะนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจประเทศในระยะข้างหน้าต่อไป 

 

“ไม่ว่าเด็ก ๆ จะเรียนสาขาอะไร ทำงานอะไรก็ตาม แต่พื้นฐานที่สำคัญคือความรู้ทางการเงิน เพราะสิ่งที่ทุกคนต้องเจอคือความท้าทายทางการเงิน ที่ทำให้ต้องคิดถึงการออม การลงทุน การวางแผนชีวิต การป้องกันตัวเองจากภัยการเงิน ดีใจมากที่วันนี้มารวมพลังกัน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ครูและเด็ก ๆ” ส่วนหนึ่งจากคำกล่าวเปิดงานของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

1 โรงเรียนประถมศึกษาที่เปิดสอนระดับมัธยมต้นเพิ่มเติม เพื่อขยายโอกาสให้เด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและมีฐานะยากจนได้เข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน