กนง. สัญจรขอนแก่น

ฟังเสียงผู้ประกอบการ เจาะลึกการปรับตัวของภาคธุรกิจอีสาน

กนง.สัญจร ขอนแก่น

ชั่วโมงนี้คนไทยจำนวนไม่น้อยต่างวิตกกังวลกับวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ อันมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย สงครามและความขัดแย้งในหลายประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังซื้อ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่เข้ามาพลิกผันวงการธุรกิจ ตลอดจนนโยบายการเพิ่มภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มว่าอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศมานานหลายสิบปี

 

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs และสตาร์ตอัปจำนวนไม่น้อยจำใจต้องลดพนักงานหรือปิดกิจการ แม้แต่พนักงานบริษัทเอกชน พ่อค้าแม่ค้าริมถนนและประชาชนทั่วไปล้วนรัดเข็มขัด เก็บเงินสดไว้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ยิ่งตอกย้ำซ้ำเติมสถานการณ์ให้ย่ำแย่ลงไปอีก

 

นี่คือสถานการณ์จริงที่ประชาชนและภาคธุรกิจไทยในปัจจุบันต้องเผชิญ สำหรับข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพที่สำคัญ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้รับรายงานข้อมูลจากพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ และครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ กนง. ได้ลงไปรับฟังข้อมูลในพื้นที่เองโดยตรง เพื่อเข้าใจถึงปัญหา การปรับตัว และความกังวลใจของผู้ประกอบการอย่างถ่องแท้มากขึ้น พระสยาม BOT MAGAZINE ขอพาทุกท่านร่วมติดตาม กนง. ลงพื้นที่พูดคุยกับกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และตัวแทนจากธนาคารพาณิชย์และธนาคารภาครัฐ ภายใต้โครงการ กนง. สัญจรกัน

กนง. สัญจรขอนแก่น : ลงพื้นที่พบปะนักธุรกิจภาคอีสาน

 

คุณสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน และเลขานุการ กนง. เล่าว่า โครงการ กนง. สัญจรแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเศรษฐกิจในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Business Liaison Program หรือ BLP ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลงพื้นที่รับฟังและแลกเปลี่ยนมุมมองทางเศรษฐกิจกับผู้ประกอบการในภูมิภาคต่าง ๆ ก่อนนำข้อมูลเชิงลึกไปประกอบการทำนโยบายการเงินและมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

“หนึ่งในกิจกรรมครั้งนี้ เราได้เชิญตัวแทนภาคธุรกิจต่าง ๆ ตั้งแต่ภาคการเกษตร อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก ดีลเลอร์รถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งถือว่าครอบคลุมอุตสาหกรรมที่สำคัญของภาคอีสาน เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองว่าพวกเขาเผชิญกับความท้าทายอะไรอยู่ ต้องปรับตัวมากน้อยแค่ไหน และต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างไรบ้าง เสียงสะท้อนของทุกท่านเป็นประโยชน์อย่างมากในการประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศไทยในขณะนี้”

กนง.สัญจร ขอนแก่น สักกะภพ

“ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีความท้าทายค่อนข้างเยอะ การมารับฟังและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้ประกอบการภาคอีสานในครั้งนี้ จะทำให้ กนง. และ ธปท. สามารถนำข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ได้มา ไปใช้ในการออกแบบนโยบายการเงินที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนและภาคธุรกิจต่อไป”

ธุรกิจค้าปลีกระส่ำ เน้นลดต้นทุน-ผนึกกำลังร้านค้าท้องถิ่น

 

เริ่มต้นที่คุณมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซุปเปอร์สโตร์ จำกัด จ.อุดรธานี ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งรายใหญ่ของภาคอีสาน ที่มีการปรับเปลี่ยนพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นมอเดิร์นเทรดท้องถิ่นที่มียอดขายเป็นอันดับต้น ๆ ของภาคอีสาน และยังสามารถปรับตัวยืนหยัดฝ่ากระแสสินค้าจีนที่เริ่มเข้ามาแข่งขันได้

 

ในฐานะทายาทรุ่นที่ 4 ของธุรกิจค้าปลีกที่ดำเนินการมากว่า 80 ปี คุณมิลินทร์ยอมรับว่าวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้หนักหนาสาหัสไม่แพ้ในอดีตที่ผ่านมา และอาจกินเวลายาวนานกว่า เนื่องจากรอบนี้มีปัจจัยหลายอย่างถาโถมเข้ามาพร้อมกัน

 

“ยอดขายหายไป 6% ในไตรมาสแรก เศรษฐกิจแย่รอบนี้มาจากปัจจัยหลายด้าน เริ่มตั้งแต่ปีก่อน  เหตุการณ์กบฏฮูตีโจมตีเรือพาณิชย์ในทะเลแดง จนส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าทางเรือ ทำให้สินค้าราคาแพงขึ้น อีกทั้งพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไป ยกตัวอย่างง่าย ๆ สมัยก่อนกินกาแฟกระป๋อง เดี๋ยวนี้ก็เข้าคาเฟกันหมด แล้วเวลาสั่งสินค้าก็นิยมสั่งทางออนไลน์ ซึ่งสินค้าจากจีนที่มีราคาถูกก็เข้ามาฮุบตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ บ้านเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนแก่เยอะขึ้นแต่บริโภคน้อยลง ไม่ซื้อข้าวของเยอะ ขณะที่เด็กเกิดใหม่น้อยลง ยอดขายนมผงลดลงไป 50% แรงงานไทยก็ลดลง ที่สำคัญคนไทยเป็นหนี้บัตรเครดิตกันเยอะ พอเป็นหนี้ กำลังซื้อเลยลดลง และยังมีมิจฉาชีพหลอกเอาเงินไปอีก แทบไม่มีเงินเหลือในบัญชีกันแล้ว”

 

ยังไม่นับสงครามมอเดิร์นเทรดที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด บรรดาห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ขยายสาขาเพิ่มในต่างจังหวัด โดยยึดทำเลทองตามหัวเมืองจนห้างท้องถิ่นบาดเจ็บล้มตายเป็นทิวแถว

 

แม้จะผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง แต่คุณมิลินทร์ก็ไม่เคยยอมแพ้ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อประคองธุรกิจให้อยู่ได้ นอกจากปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การค้าขายให้สอดรับกับสถานการณ์ วางแผนลดต้นทุน คิดโพรโมชันส่งเสริมการขาย รวมถึงเคยผนึกกำลังกับร้านค้าปลีกพันธมิตรจัดโครงการ Local Low Cost เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการขายในกลุ่มผู้ประกอบการมอเดิร์นเทรดท้องถิ่นทั่วประเทศ

 

“เราหยุดไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ระบบมีเงินกระตุ้นหมุนเวียน ทุกครั้งที่เศรษฐกิจไม่ดี คุณต้องพึ่งตัวเอง ปรับตัวเองให้ดีก่อน ต้องเข้าใจตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเราตอบสนองได้ เราจะเริ่มอยู่ได้”

กนง.สัญจร ขอนแก่น มิลินทร์

คุณมิลินทร์เล่าถึงแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่นี้ว่า

 

“อันดับแรกคือ ลดสต๊อก แล้วมาบริหารจัดการ cash flow ให้ดี ค้าส่งซบเซาลงก็หันไปดูแลค้าปลีกให้ดี ยอดขายมันยังมีเพราะคนยังต้องกินต้องใช้อยู่ สอง ต้องเพิ่มความหลากหลายของสินค้าต่าง ๆ ในร้านของตัวเองให้มากขึ้น ดูว่าสินค้าที่ขายได้คืออะไร เราต้องหาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค แม้แต่สินค้าจีนบางอย่างเราอาจต้องรับเข้ามาด้วย เพราะสินค้าบางตัวของเขาก็มีนวัตกรรมที่ดี มีคุณภาพดี”

 

“ต่อมาคือ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ผมเปลี่ยนรถฟอร์กลิฟต์มาใช้เป็นรถไฟฟ้าเพื่อประหยัดค่าน้ำมัน ลดค่าไฟ จากเปิดร้านเก้าโมงถึงสองทุ่ม ก็ปรับเวลาเหลือ 8 ชั่วโมงต่อวัน และเตรียมติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้ สุดท้าย ดูแลพนักงานให้ดี ผมจะสื่อสารข้อเท็จจริงให้ลูกน้องฟังเสมอว่าเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ดีนะ คุณต้องตั้งใจทำงาน ต้องขายของให้ได้ ผมไม่เชื่อเรื่องการลดคน เพราะการที่แรงงานหายไปคนหนึ่ง คนในครอบครัวเขาก็กระทบด้วย สุดท้ายเป็นการผลักภาระกลับไปที่สังคม เราผ่านศึกมาเยอะ เราจึงพยายามรักษาคนไว้ให้ได้มาตลอด”

 

เมื่อถามถึงความรู้สึกที่ได้จากการมาร่วมกิจกรรม กนง. สัญจร คุณมิลินทร์บอกว่า ได้เข้าใจบริบทของพี่น้องสาขาอาชีพอื่น ๆ มากขึ้น ทุกวงการต่างเผชิญกับพายุเศรษฐกิจลูกเดียวกัน ได้รับผลกระทบเหมือนกัน และต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน

 

“การได้พูดคุยกันแบบนี้ทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้นในบริบทของสาขาอาชีพต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็เข้าใจแนวความคิดของ ธปท. มากขึ้นด้วย ที่ผ่านมาเวลาฟังข่าวขึ้นดอกเบี้ย ลดดอกเบี้ยอาจยังไม่ค่อยเข้าใจเชิงลึก ประชาชนอย่างเราก็ฟังแต่คำสั่งอย่างเดียว แต่หลังจากแลกเปลี่ยนกันวันนี้ก็เข้าใจแล้วว่า นโยบายของ ธปท. ที่ออกมาแต่ละครั้ง เขาคิดกรองมาเป็นอย่างดีแล้ว”

อสังหาริมทรัพย์ซบเซา หนี้ครัวเรือนฉุดสินเชื่อบ้าน เร่งหามาตรการผ่อนปรน

 

วงการอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยสาเหตุจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ คนกู้สินเชื่อซื้อบ้านไม่ผ่าน ทำให้โครงการที่อยู่อาศัย ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม รวมถึงที่ดินต่างขายไม่ออก

 

คุณณัฐพงษ์ ประสารศิวมัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อู่จี๊ อู่ไช้ จำกัด และนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ จ.นครราชสีมา เล่าว่า สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยอยู่ในภาวะทรง ๆ ทรุด ๆ มานานกว่า 3 ปีแล้ว แม้ปีนี้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการ LTV แต่ต้องยอมรับว่าคงไม่กลับมาดีเหมือนเดิม

 

“สาเหตุหลักมาจาก 2 เรื่องใหญ่คือ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี คนก็รู้สึกไม่มั่นคง เลยไม่กล้าซื้อที่อยู่อาศัยในระยะยาว กลัวผ่อนไม่ไหว เพราะอาจตกงานเมื่อไหร่ก็ได้ สอง หนี้ครัวเรือน ตอนนี้คนไทยเป็นหนี้เยอะ ทั้งหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ ที่น่ากลัวที่สุดคือหนี้บัตรเครดิต พอติดเครดิตบูโรก็กู้ไม่ผ่าน จนคนพูดกันว่าแบงก์เข้มงวดขึ้น ปล่อยยากขึ้น อีกเรื่องที่ผมกังวลมากคือ ทุกวันนี้ลูกค้าสิบคนกู้ซื้อบ้านผ่านแค่ 3-4 คน ที่เหลือไม่มีกำลังใจในการแก้เครดิตบูโร ถึงจะแก้วันนี้มันยังเป็นตราบาปไปอีก 5-10 ปี สุดท้ายไปกู้นอกระบบง่ายกว่า กลายเป็นปัญหาสังคมอีก”

 

คุณณัฐพงษ์ฝากกับ ธปท. ว่าอยากให้ช่วยดูแลเรื่องกฎระเบียบ สามารถผ่อนคลายได้มากแค่ไหน อาจเริ่มจากระยะสั้นก่อนแล้วค่อยวางแผนระยะยาว หรืออาจจะลองออกกฎระเบียบเฉพาะภูมิภาค เพราะการกำหนดนโยบายระดับประเทศอาจไม่เหมาะกับภูมิภาคที่มีบริบทแตกต่างกัน

 

“ผมอยากให้ ธปท. รวมถึงธนาคารภาครัฐ ธนาคารภาคเอกชน ช่วยดูแลเรื่องสินเชื่อ post-finance (สินเชื่อที่อยู่อาศัย) ก่อน เพราะตอนนี้ยอดปฏิเสธการขอสินเชื่อค่อนข้างสูงมาก ทำให้คนอยากมีบ้านกำลังใจหดหาย อยากให้ผ่อนคลายมาตรการหรือหามาตรการช่วยเหลือ เพื่อที่จะให้ธุรกิจของอสังหาริมทรัพย์เดินหน้าต่อไปได้”

กนง.สัญจร ขอนแก่น ณัฐพงษ์

สำหรับแนวทางการปรับตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คุณณัฐพงษ์แนะนำว่าควรมองหา ตลาดใหม่ ๆ ที่มีกำลังซื้อ

 

“ตอนนี้ผมกำลังพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่พัทยา และพบว่าชาวต่างชาติสนใจพูลวิลลาเยอะมาก แต่ก็เริ่มเห็นตลาดศูนย์เหรียญในภาคอสังหาริมทรัพย์แล้วเช่นกัน ประเทศไทยต้องออกกฎระเบียบให้ทันโลก ถ้าชาวต่างชาติอยากได้ที่อยู่อาศัยในไทย ก็ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ไทยได้ประโยชน์ ต้องเขียนกฎระเบียบให้รัดกุมให้เราได้ประโยชน์มากที่สุด”

 

คุณณัฐพงษ์กล่าวทิ้งท้ายว่ารู้สึกยินดีมากที่ได้มีโอกาสมาพูดคุยหารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในวงประชุมครั้งนี้ ได้ฟังประสบการณ์ที่หลากหลายของคนทำธุรกิจ ทำให้เห็นภาพกว้างมากขึ้น และเห็นว่าผู้ประกอบการภาคอีสานกำลังเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้าง  

ชิ้นส่วนยานยนต์อ่วม ทุนจีนรุกหนัก นโยบายภาษีทรัมป์จ่อซ้ำ

 

ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อส่งออกต่างประเทศเป็นอีกภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย คนไม่มีกำลังซื้อ การมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้าอีวี และล่าสุดกับนโยบายเพิ่มภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา แม้ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ แต่ความไม่แน่นอนดังกล่าวก็ทำให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนลดลงอย่างน่าใจหาย

 

ดร.พรเทพ ศักดิ์สุจริต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อุดรมาสเตอร์เทค จำกัด จ.อุดรธานี ผู้ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ โดยเฉพาะระบบเซนเซอร์ต่าง ๆ ภายในรถยนต์

 

“ตอนนี้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกแย่มาก แตกต่างจากช่วงก่อนโควิดที่รถยนต์ขายดีมาก ทำให้ขายชิ้นส่วนรถยนต์ได้เป็นร้อยล้านชิ้น แต่วันนี้ยอดขายหายไป ยอดออร์เดอร์จากสหรัฐฯ ลดลง 30% ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจมาก เพราะที่ผ่านมาทุกปีถ้ายอดไม่คงที่ก็อาจลดลงแค่ 5% เท่านั้น สาเหตุมาจากฝั่งอเมริกา ฝั่งยุโรป พอเศรษฐกิจไม่ดี ผู้บริโภคก็พากันประหยัด ไม่เปลี่ยนรถใหม่ รถที่ผลิตมาเลยล้นโกดัง แผนการผลิตในระดับโลกก็ยิ่งลดลง นอกจากนี้ ยังมีกระแสรถอีวีเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้สินค้าที่เราทำอยู่ก็ได้รับผลกระทบด้วย ยอดการผลิตต่อเดือนหายไปประมาณ 30-40%”

 

ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก คุณพรเทพบอกว่า นโยบายเพิ่มภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังไม่ได้สร้างผลกระทบโดยตรง เพราะยังไม่มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ แต่สิ่งที่กระทบจริง ๆ กลับกลายเป็นสินค้าจากประเทศจีน

 

“ตอนนี้สิ่งที่ส่งผลกระทบมากกว่านโยบายภาษีทรัมป์ คือสินค้าจีน เพราะจีนผลิตชิ้นส่วนระบบเซนเซอร์รถยนต์เหมือนที่เราทำ และมาตั้งศูนย์การผลิตที่ไทย และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI ซึ่งจีนลดราคาให้ลูกค้าถึง 15% ขณะที่ปกติสินค้าที่เราขายได้กำไร 2-3% ก็เก่งแล้ว เพราะลดต้นทุนไม่ได้เท่าจีน เนื่องจากในอุดรไม่มีซัปพลายเชนด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และค่าแรงในอุดรก็ไม่ต่างจากที่อื่น ยิ่งช่วงที่ผ่านมาหลังจากโดนเพิ่มภาษีศุลกากร จีนส่งออกไปอเมริกาไม่ได้ สินค้าจึงยิ่งล้นในไทย ทำให้ศูนย์การผลิตในไทยปิดกิจการไปเยอะ อยากให้มีการตรวจสอบโรงงานเหล่านี้ที่ทะลักเข้ามาในเมืองไทย ว่าได้ทำตามเงื่อนไขการได้รับสิทธิประโยชน์ครบถ้วนหรือไม่ เพื่อให้แฟร์กับผู้ประกอบการไทย”

กนง.สัญจร ขอนแก่น พรเทพ

สำหรับการปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ดร.พรเทพเลือกมองหาธุรกิจใหม่ ๆ มารองรับในอนาคต

 

“ตอนนี้ผมกำลังสร้างธุรกิจใหม่มารองรับอยู่ เริ่มหันมาศึกษาเรื่องปุ๋ยอินทรีย์และฮอร์โมนพืช ส่วนโรงงานที่เรามีอยู่ ในอนาคตเราอาจต้องดัดแปลงโรงงานนี้ในการผลิตภัณฑ์อาหารชั้นสูง หรือว่าเป็นเครื่องมือแพทย์ด้วย”

 

ดร.พรเทพฝากคำแนะนำถึงพี่น้องในแวดวงชิ้นส่วนยานยนต์ที่กำลังได้รับผลกระทบว่า

 

“อยากให้ลองดูว่ากำลังการผลิตเรามีเท่าไหร่ แล้วก็ save cost ให้มากที่สุด พยายามลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโอที ค่าแรงที่ไม่จำเป็นออกไปให้หมด แล้วประคับประคองให้ผ่านวิกฤตไปได้ ถามว่าวิกฤตนี้มันจะถึงเมื่อไหร่ ไม่มีใครตอบได้”

 

ในฐานะตัวแทนผู้ประกอบการภาคอีสาน ดร.พรเทพขอบคุณ ธปท. ที่ได้จัดกิจกรรมที่มีประโยชน์ในครั้งนี้

 

“ผมได้รับข้อมูลข่าวสารและได้รับความรู้เยอะมาก เป็นองค์ความรู้ที่ไม่เคยได้ทราบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค้าปลีก ค่ายรถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโรงสีข้าว ด้านฝั่งภาครัฐ ทีม ธปท. และ กนง. ก็มารับฟังปัญหา พร้อมกับอธิบายข้อเท็จจริงหลายอย่างให้เราเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ที่ตามฟังแต่ในสื่อ วันนี้ถือว่าได้รับคำชี้แจงและคำอธิบายที่ชัดเจนมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น มีประโยชน์มากครับ”

ธุรกิจค้ารถยนต์กระทบหนักยิ่งกว่าช่วงโควิด

 

ปีนี้ยังคงเป็นปีที่ท้าทายของวงการค้ารถยนต์ไทย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น บวกกับหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลให้ยอดสินเชื่อกู้ซื้อรถยนต์ถูกปฏิเสธเกินกว่าครึ่ง และศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกมาคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ในไทยปี 2568 อาจจบที่ 5.3 แสนคัน หรือลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน1 

 

คุณโชคชัย คุณวาสี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โตโยต้าแก่นนคร จำกัด ในฐานะดีลเลอร์ขายรถยนต์รายใหญ่ของภาคอีสาน มองว่าธุรกิจค้ารถยนต์ในขณะนี้น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าช่วงโควิดเสียอีก

 

“รถยนต์ถือเป็นหนึ่งในสามปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดหนี้ครัวเรืิอนสูง เช่นเดียวกับอสังหาริมทรัพย์และบัตรเครดิต ที่ผ่านมารัฐบาลได้สนับสนุนมาตรการรีไฟแนนซ์รถยนต์ เพื่อจะได้ลดภาระค่างวดและค่าดอกเบี้ยของลูกหนี้ที่กำลังประสบปัญหา แต่เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดปัญหาหนี้เสีย เช่น เพิ่มเงินดาวน์ มีการคัดกรองประวัติเยอะแยะไปหมด คนมีกำลังซื้อรถยังพอมีอยู่ แต่เมื่ิอเจอสกรีนเยอะ ๆ ก็ทำให้ความอยากซื้อลดลง ผลที่ตามมาคือจากที่เคยปล่อยสินเชื่อได้ 100% ก็เหลือแค่ 50%

 

“ผมเคยขายรถยนต์ได้สูงสุดปีละ 5,000 คันในปี 2554 ซึ่งตรงกับนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล แต่ปีที่แล้วตัวเลขเหลืออยู่ประมาณ 1,800 คันเท่านั้น และปีนี้ดูเหมือนจะหนักกว่าเพราะปัจจัยหลายอย่างที่รุมเร้า ลุ้นอยู่ว่าจะขายได้ถึง 1,500 คันไหม”

 

แม้ว่ายอดขายรถยนต์ลดลง แต่จำนวนโชว์รูมและจำนวนพนักงานยังคงเท่าเดิม สิ่งที่คุณโชคชัยกำลังแบกรับอยู่คือการคิดหาทางแก้เกมโดยไม่ต้องปลดพนักงาน

“ยอดขายรถยนต์ไม่ถึง 2,000 คัน มันไม่ควรจะมีเกิน 2 โชว์รูม แต่ตอนนี้โตโยต้าแก่นนครมีอยู่ทั้งหมด 5 โชว์รูม การขอปิดสาขาไม่ใช่เรื่องยาก แต่ผลกระทบคือพนักงาน ตั้งแต่โควิดเป็นต้นมาจนถึงวันนี้เรายังไม่เคยเลย์ออฟพนักงานเลย ดังนั้น เมื่อไม่ปิดโชว์รูมและไม่ลดคน การช่วยเหลือทางการเงินจากบริษัทแม่ลดลง ปัญหาที่ตามมาคือภาระค่าใช้จ่ายที่เราต้องแบกรับ เช่น เงินเดือน ค่าน้ำค่าไฟ  ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมสภาพต่าง ๆ 

 

“ถามว่าจะแก้เกมยังไง เท่าที่ผมคำนวณดูพบว่าจำนวนพนักงานเราเกินความต้องการอยู่ประมาณ 30% ตอนนี้เรามีแผนจะตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเกี่ยวกับธุรกิจการเกษตร แล้วเราจะย้ายแรงงานส่วนนี้ไปทำงานตรงนั้นแต่ไม่ลดเงินเดือน โดยนำร่องในเชิงอาสาสมัครก่อน นอกจากนี้เรากำลังปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจใหม่ เนื่องจากตอนนี้คนไม่เปลี่ยนรถ เน้นบำรุงรักษา แต่งรถให้ดูดีขึ้นแทนซื้อรถใหม่ เราก็เล็งที่จะเอากำลังคนที่มีอยู่ไปทำตรงนั้น โดยไม่จ้างคนเพิ่ม”

 

ในฐานะผู้ประกอบการที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจรอบใหม่ คุณโชคชัยฝากข้อเสนอแนะไปยัง ธปท. ว่า อยากให้พิจารณาขยายเวลาโครงการพักทรัพย์พักหนี้ออกไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้โอกาสผู้ประกอบการได้จัดการปัญหาต่าง ๆ และดำเนินธุรกิจต่อไปได้

 

“ผมมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้หนักกว่าช่วงโควิดด้วยซ้ำ ซึ่งโครงการพักทรัพย์พักหนี้ที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยผู้ประกอบการในช่วงวิกฤตการณ์โควิด ถือเป็นโครงการที่ดีมาก ทำให้ผู้ประกอบการหลายคนหายใจหายคอได้ แต่โครงการนี้กำลังจะจบลงในปี 2569 สิ่งที่ผมอยากให้ ธปท. พิจารณาคือ ขอให้ขยายระยะเวลาไปอีก 3-5 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีเวลาจัดการปัญหาต่าง ๆ ให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ ผมเชื่อว่าหลายคนเอาที่ดินไปจำนองหรือขายให้ธนาคารซึ่งมีมูลค่ามากกว่าตัวหนี้อีก ถ้าหลักทรัพย์ตรงนั้นหลุดไปปุ๊บ ผู้ประกอบการจะขาดทุนเยอะหรืออาจเสียทรัพย์สินไปเลย ถ้านำโครงการนี้กลับมา เมื่อถึงวันที่เขาสามารถจะนำหลักทรัพย์กลับคืนมาได้ ก็จะทำให้เขายืนหยัดผ่านวิกฤตไปได้”

วงการค้าข้าว แม้เหน็ดเหนื่อยแต่ยังมีความหวัง

 

สำหรับวงการค้าข้าวส่งออกไปยังต่างประเทศ ปัญหาใหญ่ที่สุดนอกจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ดูเหมือนจะเป็นเรื่อง “แบรนด์ดิ้ง” ของข้าวหอมมะลิไทยในสายตาโลกมากกว่าที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน

 

คุณสินสมุทร ศรีแสนปาง ผู้จัดการโรงสีศรีแสงดาว จำกัด จ.ร้อยเอ็ด เจ้าของแบรนด์ข้าว “ศรีแสงดาว” ที่สนับสนุนให้ชาวนาปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าวจากนาหว่านเป็นนาหยอด สามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของเกษตรกร ทั้งยังส่งออกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จนได้รับการจดทะเบียนให้เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication: GI) ชนิดแรกของประเทศไทยที่สหภาพยุโรป

 

คุณสินสมุทรมองว่าเรื่องข้าวเป็นเรื่องของนโยบายรัฐบาลที่ออกมาไม่สนับสนุนต่อการพัฒนาเรื่องข้าวเท่าที่ควร ในทางกลับกัน ประเทศคู่แข่งพัฒนาไปไกลแล้ว แต่บ้านเรายังถอยหลัง ทั้งที่ต้นทุนของประเทศไทย ไม่ว่าจะดิน น้ำ อากาศ ถือว่าดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านเยอะมาก แต่ตอนนี้เขาขึ้นมาเทียบชั้นเราเรียบร้อยแล้ว

 

“ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ก่อนหน้านี้ข้าวหอมมะลิในตลาดโลกล้วนมาจากประเทศไทย โดยเราใช้ชื่อว่า Jasmine Rice ที่สร้างชื่อเสียงมาหลายสิบปี แต่ไม่นานมานี้เพื่อนบ้านเราสามารถผลิต Jasmine Rice ออกมาได้แล้ว ถึงแม้คุณภาพจะไม่เท่า แต่ก็มีความใกล้เคียง และใช้ชื่อเดียวกันคือ Jasmine Rice ทำให้ตลาดข้าวหอมมะลิมีการแข่งขันสูงขึ้น ราคากลางตกต่ำลง

 

“ต่อมารัฐบาลไทยจึงยกมาตรฐานข้าวหอมมะลิของเราเป็น Thai Hom Mali Rice แต่ปรากฏว่าลูกค้าทั่วโลกงง ไม่รู้จัก เราจึงอยากมีส่วนร่วมในการผลักดันให้ชื่อ Thai Hom Mali Rice เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพื่อยกระดับข้าวหอมมะลิไทยและรักษาประโยชน์ของเกษตรกร ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ข้าวในตลาดที่ใช้ชื่อ Jasmine Rice ณ วันนี้ คุณภาพเทียบกับ Thai Hom Mali Rice ไม่ได้เลย ยิ่งเป็นข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ซึ่งได้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ยิ่งเทียบไม่ได้

 

“ดังนั้น เวลาส่งออกข้าวศรีแสงดาวไปต่างประเทศ ผมจึงพยายามบอกว่าเราคือ Thai Hom Mali Rice ซึ่งเป็นคนละตัวกับ Jasmine Rice ที่ขายทั่วไป และชูว่าข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้คือผลิตภัณฑ์ GI ถ้าอยากกินข้าวไทยต้องกินของเรา ผมเชื่อครับว่าถ้ารัฐบาลผลักดัน Thai Hom Mali Rice ต่อไปอีก 10-20 ปี จนตลาดสามารถแยกออกว่านี่คือข้าวไทย จะมีประโยชน์ต่อทั้งผู้ปลูกและผู้ผลิต อีกทั้งผู้บริโภคเองก็จะได้กินข้าวไทยของแท้ด้วย”

 

คุณสินสมุทรเสริมว่า “หากจะพัฒนาสายพันธุ์ที่มีความใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิ ทุกภาคส่วนควรหารือกำหนดทิศทางให้เข้าใจตรงกันก่อน เพื่อไม่ให้ผู้ปลูก ผู้ผลิต และผู้บริโภคเกิดความสับสน ผู้ผลิตข้าวหอมมะลิแท้ทั้งซัปพลายเชนจะได้มีกำลังใจผลิตข้าวคุณภาพสู่ครัวโลกต่อไป ผมว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องข้าวต้องแก้ภาพใหญ่ในหลายมิติไปพร้อมกันไม่สามารถแก้ทีละนิดได้ สรุปคือเรื่องข้าวแม้จะเหนื่อย แต่ยังมีความหวัง เรียกว่ายังมีแสงสว่างเล็ก ๆ ในความมืดครับ”

เสียงสะท้อนจากตัวแทนธนาคาร

 

ในวงประชุม กนง. สัญจรขอนแก่นครั้งนี้ มีตัวแทนภาคธนาคาร 3 ท่าน เข้ามาร่วมพูดคุยหารือด้วย เพื่อฉายภาพรวมของสถานการณ์การเงิน ภาวะสินเชื่อ และคุณภาพหนี้ของลูกหนี้รายย่อย ลูกหนี้กลุ่ม SMEs จนถึงลูกหนี้ในภาคการเกษตรในภาคอีสาน

 

คุณวุฒิพงศ์ เกษสัญชัย ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้ภาพสถานการณ์ทางการเงินของลูกหนี้เกษตรและการปรับตัวในภาคเกษตรว่า ลูกค้า ธ.ก.ส. ภาคอีสานตอนบนส่วนใหญ่มีรายได้จากภาคการเกษตรและทอผ้า พอเจอช่วงโควิดที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือหลายอย่างเพื่อประคับประคองให้ลูกหนี้อยู่รอดต่อไปได้

 

“ลูกค้ากลุ่มเปราะบางที่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อยได้รับความช่วยเหลือด้านงบประมาณเพื่อการฟื้นฟูอาชีพ ส่งผลให้เขามีรายได้เพิ่ม 15% ของรายได้รวม นอกจากนี้ ยังมีการใช้เครื่องมือด้านสินเชื่อเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกร เช่น ขยายเวลาพักชำระหนี้ คิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก โครงการชำระหนี้ดีมีคืน หรือโครงการคุณสู้เราช่วย เพื่อสร้างแรงจูงใจการชำระหนี้ ทำให้ได้รับการชำระหนี้คืนจากเกษตรกรอยู่พอสมควร

 

“อนาคตข้างหน้าเราพยายามปล่อยสินเชื่อเพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิิจฐานราก โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มสหกรณ์นอกภาคการเกษตร เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ สินเชื่อเพื่อพัฒนาองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต.) สินเชื่อเพื่ออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการรายย่อย สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกันก็ยังให้ความสำคัญกับการออกสินเชื่อสำหรับภาคการเกษตรที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่การผลิตได้มีเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ”

 

คุณพิษณุ หงษ์เวียง ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย สาขาบ้านไผ่ และประธานชมรมธนาคารจังหวัดขอนแก่น ให้ภาพสถานการณ์ทางการเงิน ทั้งภาวะสินเชื่อและคุณภาพหนี้ของลูกหนี้รายย่อยว่า ชมรมธนาคารจังหวัดขอนแก่น ประกอบด้วยธนาคารภาครัฐและธนาคารพาณิชย์จำนวน 15 แห่ง และยังถือเป็น 1 ใน 8 องค์กรเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญของจังหวัดขอนแก่นด้วย ที่ผ่านมาได้ร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวมาโดยตลอด เช่น จัดการประชุมสัมมนา จัดงานอิเวนต์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในจังหวัด

 

“เราไม่ได้ทำหน้าที่ปล่อยกู้หรือให้ลูกค้าเดินมาฝากเงินถอนเงินอย่างเดียว แต่ต้องมีบทบาทเป็นที่ปรึกษาทางการเงินด้วยโดยเฉพาะช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ที่ผ่านมาหลายธนาคารก็ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้มาโดยตลอดตามนโยบายของ ธปท. ทั้งการลดดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ประชาชนผ่านวิกฤตไปให้ได้

 

“ทุกวันนี้หลายธนาคารก็อยากปล่อยกู้ เพื่อให้ประชาชนนำเงินไปใช้จ่ายหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ แต่อย่างที่ทราบกันคือปัญหาหนี้ครัวเรือนค่อนข้างเยอะ เราจึงต้องเร่งแก้ปัญหาตรงนี้โดยออกมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น โครงการรวมหนี้ยั่งยืน ที่รวมหนี้ทุกอย่างไว้ที่เดียวแล้วผ่อนดอกเบี้ยราคาถูก จะได้มีเงินเหลือไว้ใช้ แต่หลายคนยังสร้างหนี้กันอยู่ ยังวนลูปอยู่กับการแก้หนี้ไม่จบไม่สิ้น”

กนง.สัญจร ขอนแก่น

มุมมองจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กนง.

 

หลังจากได้รับฟังปัญหาอุปสรรค ความวิตกกังวล และแนวทางในการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจของเหล่าผู้ประกอบการภาคอีสานแล้ว คุณไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ กนง. ยืนยันว่า กนง. มีความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือภาคเอกชนและภาคธุรกิจต่าง ๆ เพื่อให้ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจไปให้ได้ ผ่านการออกแบบนโยบายทางการเงินที่รอบคอบ โปร่งใส และมีความเข้าอกเข้าใจประชาชน

 

“วันนี้ได้มาพูดคุยกับคนที่อยู่ในสงครามทางเศรษฐกิจ นอกจากต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว เขายังมีความคาดหวังว่าภาครัฐจะต้องทำงานเป็นองคาพยพ เป็นทีมที่จะสร้างสภาพแวดล้อมให้เขาดำเนินธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค ซึ่งหลายเรื่องเป็นกฎเกณฑ์ของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการค้า การทำอุตสาหกรรม การแข่งขัน และการส่งออก

 

“สำหรับ กนง. หน้าที่หลักของเราคือการดูแลรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ ดูแลภาพรวมให้ดอกเบี้ยอยู่ในสภาวะที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ บทเรียนที่เราได้รับฟังจากการพูดคุยครั้งนี้คือ ถ้านโยบายภาครัฐไม่คงเส้นคงวาหรือเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ ชีวิตของประชาชนที่ลำบากอยู่แล้วจากการแข่งขันสูงขึ้น แรงกดดันจากสินค้าต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาในไทย ก็จะยิ่งทำให้เขาเดือดร้อนมากขึ้น เราต้องทำหน้าที่ของเราในฐานะ กนง. ให้ดีที่สุด ด้วยการออกนโยบายการเงินที่คงเส้นคงวาไม่ใช่ปรับไปปรับมา ต้องเป็นนโยบายที่มีความโปร่งใส คาดการณ์ได้ มีกรอบของการตัดสินใจที่ชัดเจน ที่สำคัญการทำนโยบาย หรือการออกกฎเกณฑ์อะไรต่าง ๆ จะต้องมีความเข้าอกเข้าใจผู้ที่จะได้รับผลกระทบด้วย”

กนง.สัญจร ขอนแก่น ไพบูลย์

ขณะที่ ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ กนง. อีกท่านเปิดเผยว่า นอกจากความรู้สึกเห็นใจผู้ประกอบการที่กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ประทับใจมากกว่าคือหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของทุกคนที่ยังต่อสู้อย่างเต็มที่

 

“เห็นได้ชัดเลยว่าผู้ประกอบการแต่ละคนมีพลังเยอะมาก แม้ทุกคนจะเจอความท้าทายแต่ไม่มีใครยอมแพ้ ยังสู้เต็มที่ พยายามปรับตัว หาทิศทางใหม่ ๆ รวมทั้งช่วยเหลือพนักงาน รู้สึกมีความหวังว่า อย่างน้อยเขาก็ยังสู้ต่อเพื่อให้ผ่านพายุลูกนี้ไปให้ได้ ในฐานะกรรมการ กนง. เราก็จะทำหน้าที่วางนโยบายทางการเงินในการช่วยเหลือเขา อย่างน้อยก็ไม่ขวางเขา ถ่วงเขา แต่จะช่วยผลักดันให้เขาสามารถผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้”

 

สำหรับประเด็นสำคัญที่น่าสนใจในมุมมองของ ดร.สันติธาร มีอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทุนสีเทาที่ไม่เคารพกติกา รวมถึงการปรับตัวทางธุรกิจในระยะยาว

 

“เรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญก็คือปัญหาเกี่ยวกับทุนสีเทา หรือว่าปัญหาการที่มีทุนต่างชาติเข้ามาแล้วไม่ได้เล่นตามกฎกติกาของประเทศไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแทบจะในทุกอุตสาหกรรมเลย มีโรงงานคนไทยที่ทำดีอยู่แล้ว แต่วันหนึ่งกลับมีโรงงานต่างชาติเข้ามาเปิด ทำแบบเดียวกัน ได้สิทธิพิเศษด้านการลงทุนไป แต่กลับทำไม่ถูกต้อง ไม่ได้ใช้คนของเรา ไม่ได้สร้างงานอะไรให้คนไทยเลย เรื่องนี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ”

 

ดร.สันติธารบอกว่าหากเปรียบวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้เป็นพายุ ก็จะเป็นพายุที่อยู่นาน แล้วจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ไปอย่างถาวรด้วย

 

“กนง. เรามองว่าพายุเศรษฐกิจลูกนี้ไม่ใช่พายุที่ผ่านไปแล้วทุกอย่างจะเหมือนเดิม มันจะเป็นพายุที่อยู่กับเราอีกนาน และจะเปลี่ยนโลกนี้ไปอย่างถาวร พอออกมาเป็นภาพนี้ ผู้ประกอบการทุกคนอาจต้องกลับไปคิดใหม่ว่าวิธีการรับมือมันไม่ใช่เพียงแค่กัดฟันให้อยู่รอดได้เท่านั้นแล้ว แต่อาจต้องคิดไปถึงการมองหาน่านน้ำใหม่ หาตลาดใหม่ ซึ่งหน้าที่ของ กนง. และ ธปท. ไม่ใช่แค่การตัดสินใจเรื่องนโยบายอย่างเดียว แต่ต้องสื่อสารภาพให้ทุกคนเห็นว่านี่คือภาพที่เราเห็นในอนาคต เขาจะได้กลับไปทำการบ้านได้ว่าเขาจะต้องปรับปรุงพัฒนาทักษะอะไรบ้างในการรับมือโลกที่มันเปลี่ยนแปลง”

กนง.สัญจร ขอนแก่น สันติธาร