ท่องโลกสมมติของนโยบาย

เมื่อการตัดสินใจ อาจไม่ได้มีคำตอบเดียว

โลกสมมตินโยบาย ธปท.

ประเทศไทยอยู่ในจังหวะเศรษฐกิจที่ท้าทายอย่างยิ่ง ด้านหนึ่ง เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด 19 ค่อนข้างช้า และแม้ฟื้นตัวแล้วก็ยังอยู่ในภาวะเติบโตต่ำต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤต ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก อีกด้านหนึ่ง ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกก็ยิ่งถาโถม ทั้งนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการปฏิวัติเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างรวดเร็ว

 

ในสถานการณ์เช่นนี้ การตัดสินใจเชิงนโยบายไม่เคยง่าย แม้จะยึดหลักคิดและข้อมูลอย่างรอบด้าน แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็รู้ดีว่า นโยบายใด ๆ ย่อมมีเสียงเห็นต่างและวิพากษ์วิจารณ์เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ธปท. ยินดีรับฟัง พร้อมอธิบาย แลกเปลี่ยน และที่สำคัญพร้อมทบทวนและปรับปรุงเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปหรือเมื่อได้ข้อมูลใหม่

 

แต่ก็น่าคิดไม่น้อยว่า ถ้า ธปท. เลือกทำนโยบายที่ต่างออกไปผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจไทยจะดีกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ แม้ในโลกความเป็นจริง คำถามเช่นนี้เป็นไปได้มากที่สุดแค่ “แบบฝึกหัดทางความคิด” เพราะเราคงไม่อาจย้อนกลับไปตัดสินใจใหม่ได้ แต่แบบฝึกหัดเช่นนี้แหละที่จะช่วยให้เราถอดบทเรียนและทบทวนการออกแบบให้ดีขึ้นได้ในอนาคต

 

ในบทความนี้เราจึงอยากชวนผู้อ่าน “ท่องโลกสมมติของนโยบายธนาคารกลาง” ตั้งคำถามกลับกันดูว่า ถ้า ธปท. ไม่ทำอย่างที่ทำ แล้วเลือกอีกเส้นทางหนึ่งแทน เศรษฐกิจไทยจะเดินไปทางไหน?

 

ทั้งหมดนี้ ไม่ได้ชวนให้เชื่อหรือเห็นด้วยกับ ธปท. แต่ชวนให้เข้าใจ ถกเถียง และร่วมตรวจสอบการทำงานของธนาคารกลางอย่างรอบด้านไปด้วยกัน เพื่อให้เราเห็นไม่ใช่แค่เพียงว่า ธปท. “ทำอะไร” แต่เข้าใจด้วยว่า “ทำไมจึงเลือกทำเช่นนั้น”

สมมติ 1 : ถ้า กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำไปนาน ๆ เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

ในช่วงที่ผ่านมามีคนจำนวนไม่น้อยที่คอยตั้งคำถามกับ ธปท. ว่าทำไมถึงไม่ลดดอกเบี้ยให้ต่ำ ๆ แล้วคงไปนาน ๆ เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชน กระตุ้นการลงทุน ลดภาระลูกหนี้ และประคองกำลังซื้อ ซึ่ง ธปท. ได้รับฟังความเห็นนี้มาโดยตลอด และไม่เพียงแค่รับฟัง แต่ตระหนักเป็นอย่างดีว่า เบื้องลึกของเสียงเหล่านี้คือ ความเดือดร้อนและความลำบาก (เสียงจากคนที่เป็นลูกหนี้) และความห่วงใยและปรารถนาดีต่อเศรษฐกิจไทย (เสียงจากคนที่เห็นต่างเชิงนโยบาย)

 

คำถามที่น่าคิดคือ ถ้าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำเป็นเวลานาน ๆ โดยมีเป้าประสงค์เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้จริง ๆ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ประชาชนจะได้ประโยชน์จริงไหม? แล้วมีข้อควรกังวลบ้างหรือเปล่า? 

 

ก่อนอื่นเลยมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า การดำเนินนโยบายใด ๆ มักมีผู้ที่ได้รับประโยชน์ และผู้ได้รับผลกระทบเชิงลบเสมอ การลดดอกเบี้ยนโยบายสามารถช่วยประชาชนบางกลุ่มได้จริง โดยช่วยบรรเทาภาระการจ่ายหนี้ของครัวเรือนได้บางส่วน โดยเฉพาะลูกหนี้ของสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (floating rate) อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ลูกหนี้ทุกคนที่ได้รับผลประโยชน์นี้ คนที่มีสินเชื่อแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ (fixed rate) จะไม่ได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยดังกล่าว

 

นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่ลดลงก็อาจช่วยให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นและเพิ่มสภาพคล่องให้กับครัวเรือนได้ แต่การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้กู้ ความเสี่ยงที่สถาบันการเงินยอมรับได้ และแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ก็ส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ประชาชนจึงอาจได้รับประโยชน์น้อยลงนั่นเอง

 

แล้วใครบ้างที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการลดดอกเบี้ยนโยบาย?

 

คนเหล่านั้นก็คือครัวเรือนฝั่งผู้ออมที่จะได้รับผลตอบแทนลดลง ทั้งจากดอกเบี้ยเงินฝาก และผลตอบแทนจากสินทรัพย์อื่นที่เคลื่อนไหวตามทิศในเชิงเหตุผลก็บอกได้ว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายสามารถช่วยลูกหนี้บางส่วนได้จริงอย่างที่กล่าวไป แต่นโยบายการเงินเป็นเครื่องมือที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง (blunt tool) การขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบในมิติอื่น ๆ ด้วย 

ใครได้ ใครเสีย

ประเด็นในเชิงนโยบายก็มีอยู่ว่า การปรับลดดอกเบี้ยให้ต่ำ และคงไปนาน ๆ เพื่อบรรเทาภาระหนี้ครัวเรือนอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เพราะดอกเบี้ยที่ต่ำจะส่งผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของภาคส่วนต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจ เช่น กระตุ้นพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทน (search for yield) และบิดเบือนพฤติกรรมการก่อหนี้จนอาจนำไปสู่วิกฤตหนี้ครัวเรือนได้ และอาจกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

 

ดังนั้น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นกับความเสี่ยงที่อาจสะสมในระบบการเงินระยะยาวอย่างรอบคอบ แต่ประเด็นที่ทุกฝ่ายต้องเข้าใจตรงกัน คือ การลดดอกเบี้ยทำได้แค่บรรเทาภาระหนี้ในระยะสั้นบางส่วนเท่านั้น แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยั่งยืน จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการแบบผสมผสานร่วมกับ “มาตรการแก้หนี้เฉพาะจุด” อื่น ๆ รวมถึง “มาตรการช่วยเพิ่มรายได้และศักยภาพของลูกหนี้” เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน

 

การตัดสินใจทางนโยบายไม่ได้มีคำตอบแบบขาวหรือดำ แต่สิ่งที่สำคัญคือ การรับฟังเสียงวิจารณ์ต่อการดำเนินนโยบายเหล่านั้น เพื่อนำมา “คิดทบทวน” และ “ประเมินสถานการณ์” อยู่เสมอ เพราะนี่คือพลังของการมีส่วนร่วมในเชิงนโยบายจากสังคม การตั้งคำถามทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์

สมมติ 2 : ถ้า ธปท. เข้าแทรกแซงค่าเงินบาทที่แข็งเกินไปให้อ่อนลง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและสกุลหลักอื่น ๆ เฉพาะปี 2568 เงินบาทแข็งค่ามาอยู่ที่ระดับประมาณ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 5% เมื่อเทียบกับต้นปี 25681 หลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้ส่งออกและอุตสาหกรรมที่พึ่งพารายได้ต่างประเทศ รู้สึกกังวล เพราะเงินบาทที่แข็งขึ้นหมายถึงเมื่อแปลงรายได้จากการขายสินค้าให้ต่างประเทศกลับมาเป็นเงินบาท รายได้จะลดลงทันที ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น เคยส่งออกสินค้ามูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแลกเป็นเงินบาทได้ 33 ล้านบาท ต่อมาเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ส่งออกสินค้าปริมาณเท่าเดิม แต่แลกเป็นเงินบาทได้เพียง 32 ล้านบาท

 

เสียงเรียกร้องให้ ธปท. “เข้าแทรกแซงค่าเงินบาท” เพื่อพยุงค่าเงินให้อ่อนลงจึงเริ่มดังขึ้น คำถามคือ ถ้า ธปท. ทำจริง จะเกิดอะไรขึ้น? 

 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า “บาทแข็ง” ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป และ “บาทอ่อน” ก็ไม่ใช่ของดีในทุกสถานการณ์

 

เงินบาทแข็งอาจกระทบผู้ส่งออกจริง แต่ก็มีผู้ได้ประโยชน์อีกจำนวนไม่น้อย เช่น ผู้นำเข้าที่ต้องจ่ายเงินสกุลต่างประเทศ (เช่น น้ำมัน เครื่องจักร หรือวัตถุดิบอุตสาหกรรม) จะมีต้นทุนลดลง ผู้บริโภคได้ประโยชน์จากราคาสินค้านำเข้าที่ถูกลง นักลงทุนไทยที่ต้องการขยายการลงทุนไปต่างประเทศสามารถซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศได้ในราคาถูกลง

ใครได้ ใครเสีย

ดังนั้น การจะบอกว่า “เงินบาทแข็ง = ปัญหา” จึงถูกต้องเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะในด้านกลับกัน “เงินบาทอ่อน = ปัญหา” เช่นกัน 

 

กล่าวเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่า ธปท. ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะประเด็นที่ต้องคิดและพิจารณาคือการแข็งค่าของเงินบาทสอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจหรือไม่ (fundamentally misaligned appreciation) จะบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และทำให้ภาคส่งออก ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยเสียหายแค่ไหน

 

ถ้าเงินบาทแข็งเร็วเกินไป ธปท. ยังคงมีหน้าที่ต้องดูแลค่าเงินให้อยู่ในทิศทางที่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ และพร้อมเข้าดูแลความผันผวนหากเกินจริง เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาให้กับผู้ส่งออก แต่สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ การเข้าไป “บังคับทิศทาง” ให้เงินบาทอ่อนหรือแข็งตามที่ใครอยากเห็น 

 

ข้อถกเถียงเรื่องนโยบายการแทรกแซงค่าเงินสะท้อนให้เห็นว่า การทำนโยบายหนึ่งมีทั้งผู้ที่ได้รับประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ และต่อให้เราจะมีเครื่องมือ เทคนิค และความรู้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ในหลายมิติ หัวใจการตัดสินใจเชิงนโยบายก็เป็นศิลปะ ดังนั้น การรักษาสมดุลของนโยบายนี้จึงต้องใช้ทั้ง “ศาสตร์และศิลป์”

สมมติ 3 : ถ้า ธปท. เปิดประตูให้สินทรัพย์ดิจิทัลเต็มรูปแบบ

ถ้าวันหนึ่งเราสามารถจ่ายค่าอาหารเช้าที่ตลาดนัดด้วย Bitcoin ซื้อหนังสือด้วย Ethereum หรือโอนเงินให้เพื่อนด้วย stablecoin ได้เหมือนโอนพร้อมเพย์ นั่นจะหมายความว่า ธปท. ได้ “เปิดประตู” ให้สินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่ระบบการชำระเงินเต็มรูปแบบ

 

ในโลกปัจจุบัน เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงจินตนาการ เพราะบางประเทศได้ทดลองทำไปแล้ว เช่น เอลซัลวาดอร์ยอมรับ Bitcoin เป็นเงินชำระหนี้ได้ตามกฎหมายโดยขึ้นกับความสมัครใจของผู้รับ หรือสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้ stablecoin ภายใต้การกำกับ 

 

อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางในโลกส่วนใหญ่ยังคงกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเข้มข้น ขณะที่ภาคเอกชนและนักลงทุนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า โลกดิจิทัลขยับเร็วกว่ากฎระเบียบเสมอและ การกำกับดูแลแบบที่เป็นอยู่อาจฉุดรั้งการพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัล และนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ

 

คำถามท้าทายคือ หากธนาคารกลาง รวมถึง ธปท. เลือกเปิดประตูให้สินทรัพย์ดิจิทัลไหลเข้าสู่ระบบการเงินเต็มรูปแบบ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?

ข้อดี ข้อเสีย

ในเชิงบวก เราพอคาดการณ์ได้ว่า การเปิดประตูให้กับสินทรัพย์ดิจิทัลจะสร้างบรรยากาศที่คึกคัก น่าตื่นเต้น และเปี่ยมโอกาส ธุรกิจออนไลน์สามารถรับชำระด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยตรง นักลงทุนรุ่นใหม่มีทางเลือกมากขึ้นในการถือครองสินทรัพย์ข้ามประเทศโดยไม่ผ่านธนาคารพาณิชย์ และนวัตกรรมการเงินไทยอาจเติบโตมากขึ้น เพราะระบบการชำระเงินเปิดกว้างให้ผู้เล่นใหม่เข้ามาแข่งขัน

 

ในเชิงเศรษฐกิจ บรรยากาศเช่นนี้ย่อมมีส่วนกระตุ้นกิจกรรมทางการเงินดิจิทัล การสร้างสตาร์ตอัปด้านฟินเทค การใช้สัญญาอัจฉริยะ (smart contract) ในการทำธุรกรรม และการพัฒนาแพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance: DeFi) ที่ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงบริการทางการเงินได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง

 

แต่ข้อดีเหล่านี้ มาพร้อมกับคำถามใหญ่ด้านเสถียรภาพ ความเสี่ยง และความเชื่อมั่น ในความเป็นจริงสินทรัพย์ดิจิทัลยังไม่สามารถตอบคำถามพื้นฐานหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของราคา ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ความเสี่ยงจากการฉ้อโกงและการฟอกเงินที่ตรวจสอบยาก ซึ่งทั้งหมดนี้อาจก่อปัญหาแก่ทั้งนักลงทุนและสถาบันการเงินที่เข้าไปเกี่ยวข้อง และทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภทไม่เหมาะนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินได้จริง

 

ข้อถกเถียงในประเด็นนี้จึงไม่ใช่ “การเปิด” หรือ “ไม่เปิด” แต่ควรเลือกเปิดอย่างไรให้เหมาะสมกับสภาพความพร้อมและเงื่อนไขในโลกจริง

 

สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ บทบาทของธนาคารกลางไม่ใช่การทำให้เศรษฐกิจการเงินของประเทศได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด หากแต่คือการรับประกันว่า เมื่อเทคโนโลยีใหม่เข้ามา ระบบเศรษฐกิจการเงินจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นธรรมมากขึ้น ตอบโจทย์ผู้คนได้ดีขึ้น โดยที่ความปลอดภัยและเสถียรภาพของระบบต้องไม่น้อยลงไปกว่าเดิม

การทำนโยบายในโลกที่ไม่มีโอกาสได้สมมติ

ในการทำนโยบายของธนาคารกลาง เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินใจได้ “ถูกใจทุกคน” เพราะธรรมชาติของการดำเนินนโยบายย่อมมีผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ตรงกันข้ามกับความคาดหวังของสังคมที่เชื่อว่านโยบายที่ดีจะต้องตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย

 

ท่ามกลางความคาดหวังนั้น ธปท. จึงพัฒนากรอบคิดในการดำเนินนโยบายภายใต้หลัก “คิดรอบ ตอบได้”

 

คิดรอบ คือการมองให้ครบทุกมิติของความเป็นไปได้ ทั้งเศรษฐกิจจริง การเงิน สังคม และพฤติกรรมของผู้คน โดยไม่ตัดสินจากมุมเดียว แต่ฟังเสียงจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ตัวเลขมหภาคในห้องประชุมจนถึงเสียงของผู้ประกอบการรายเล็กในตลาด เป็นการคิดที่ไม่ยึดติดอยู่ในสมการทางเทคนิค แต่เข้าใจ “ชีวิตจริง” ของเศรษฐกิจไทย มองให้ทะลุทั้งผลระยะสั้นและระยะยาว เห็นทั้งผู้ได้และผู้เสีย เห็นทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่อาจเกิดตามมา

 

ตอบได้ หมายถึงทั้งการ “ตอบสังคม” ได้อย่างโปร่งใส พร้อมอธิบายเหตุผล แลกเปลี่ยน และรับฟังเมื่อถูกตั้งคำถาม และการ “ตอบตัวเอง” ว่าได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง รอบคอบ และเต็มที่แล้วหรือยัง โดยเฉพาะในยามที่ต้องตัดสินใจภายใต้ทางเลือกที่มีทั้งได้และเสีย (trade-off) ระหว่างประโยชน์ระยะสั้นกับเป้าหมายระยะยาว ระหว่างเสียงชื่นชมกับเสียงวิจารณ์

 

หัวใจของแนวคิดนี้ไม่ใช่การยึดมั่นว่าต้องมีคำตอบเดียวที่ถูกเสมอ แต่คือการมีหลักคิดในการตัดสินใจ และพร้อมยอมรับ ปรับเปลี่ยน หรือทบทวนเมื่อเห็นว่ายังสามารถพัฒนาได้มากกว่านี้

คิดรอบ ตอบได้

วารสารพระสยาม BOT MAGAZINE ฉบับนี้ คือ สปิริตของการทำงานแบบ “คิดรอบ ตอบได้” ของ ธปท. ที่อยากชวนคิดชวนคุย เพื่อให้เราใกล้กันกว่าเดิม

Tag ที่เกี่ยวข้อง

The Knowledge BOT Magazine Knowledge Corner Highlight นโยบายการเงิน อัตราแลกเปลี่ยน สินทรัพย์ดิจิทัล เศรษฐกิจและการเงิน