การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการชำระเงินกับบริบทของประเทศไทย
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) เป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจในวงกว้าง โดยมีการนำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เป็นเครื่องมือการระดมทุนและเป็นสินทรัพย์ลงทุน บทความนี้จะมาแนะนำให้ท่านรู้จักสินทรัพย์ดิจิทัล คุณสมบัติที่สำคัญของสื่อกลางในการชำระเงิน การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้บริบทของประเทศไทย และมุมมองของต่างประเทศที่มีต่อการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระเงิน
นิยามของสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ของไทยตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 (พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ) ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หมายถึง หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นบนระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เทคโนโลยีแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology: DLT) หรือเทคโนโลยี Blockchain โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัล
“คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยน เช่น Bitcoin และ Ethereum รวมถึงคริปโทเคอร์เรนซีที่ตรึงมูลค่า (pegged) กับสินทรัพย์อื่นอย่างเงินตราต่างประเทศหรือทองคำ ซึ่งถูกเรียกว่า “Stablecoin”
“โทเคนดิจิทัล” (Digital Token) คือ สินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้สิทธิต่าง ๆ แก่ผู้ถือ ได้แก่ (1) Investment Token ซึ่งมอบสิทธิในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการ และ (2) Utility Token ซึ่งให้สิทธิในการได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่น ๆ ที่เฉพาะเจาะจง
เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลทั้ง 2 ประเภท สามารถนำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ในวงกว้าง จึงทำให้เริ่มมีความต้องการนำสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภทมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน อย่างไรก็ดี สินทรัพย์ดิจิทัลแต่ละประเภทมีประโยชน์และความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ดังนั้น การที่จะนำสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภทมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินจึงควรคำนึงถึงประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นและผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนอย่างรอบด้าน
“สื่อกลางในการชำระเงิน” มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจการเงิน ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการซื้อขายแลกเปลี่ยน ดังนั้น การจะนำสิ่งใดมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน จึงต้องพิจารณาคุณลักษณะที่สำคัญอย่างน้อย 3 ข้อ
ข้อแรก ต้องมี “มูลค่าคงที่” ไม่เปลี่ยนแปลงไวจนเกินไป เพื่อรักษาความเชื่อมั่นในการนำไปใช้ และผู้ใช้งานสามารถคาดการณ์และวางแผนใช้จ่ายได้อย่างมั่นใจ เช่น เงินสดในกระเป๋าของเราที่มีมูลค่าคงที่ เงิน 100 บาท ไม่ว่าจะเก็บไว้วันนี้หรือพรุ่งนี้ ยังคงมีมูลค่า 100 บาทเท่าเดิม
ข้อที่สอง ต้องมี “ความมั่นคงปลอดภัย” โดยมีกลไกตรวจสอบและดูแลไม่ให้สื่อกลางในการชำระเงินถูกนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำหรับการฟอกเงินและฉ้อโกงได้โดยง่าย รวมถึงมีกลไกการดูแลความปลอดภัยทั้งจากภัยไซเบอร์ หรือการถูกปลอมแปลง เพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชนผู้ใช้งาน ดังเช่นกรณีการใช้บัตรเครดิต หากพบธุรกรรมที่ผิดปกติ ทางผู้ให้บริการจะตรวจสอบธุรกรรมหรืออาจระงับธุรกรรม และแจ้งผู้ใช้บริการเพื่อยืนยันอีกครั้งก่อนทำธุรกรรม
ข้อสุดท้าย ต้องใช้งานได้สะดวก คล่องตัว และเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในการซื้อขายแลกเปลี่ยน เปรียบได้กับเงินบาทที่สามารถใช้ชำระเงินกับร้านค้าต่าง ๆ ได้ในหลายรูปแบบ ทั้งเงินสด พร้อมเพย์ และเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money)
ทั้งนี้ เพื่อรักษาความมั่นใจว่าสื่อกลางที่นำมาใช้จะสามารถคงคุณสมบัติ 3 ข้อข้างต้นไว้ได้อย่างครบถ้วน จึงควรกำกับดูแลผู้ให้บริการให้มีสถานะการเงินที่มั่นคง มีธรรมาภิบาลที่ดี มีการบริหารความเสี่ยงทั้งด้านปฏิบัติการและด้านเทคโนโลยี และมีการคุ้มครองผู้ใช้บริการ เช่น มีการยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน มีการตรวจสอบที่มาของเงิน และมีกลไกป้องกันการปลอมแปลง
สินทรัพย์ดิจิทัลมีหลายรูปแบบ และแต่ละรูปแบบมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน เช่น คริปโทเคอร์เรนซี บางประเภทมีความผันผวนสูง ขณะที่ stablecoin มีความผันผวนต่ำ จึงอาจได้รับความสนใจจากภาคเอกชนที่จะนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยประโยชน์ของการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินอาจยังไม่ชัดเจนเมื่อเทียบกับระบบที่นิยมในปัจจุบัน เช่น พร้อมเพย์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไป ใช้งานได้สะดวก และต้นทุนต่ำ หากจะนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ ก็อาจมีความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบประชาชนและระบบเศรษฐกิจการเงินได้
ความเสี่ยงข้อแรกคือ ความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากราคาสามารถเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ในระยะเวลาอันสั้น และไม่สามารถเก็บรักษามูลค่าให้เท่าเดิมได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชน ทำให้ยอดใช้จ่ายของผู้ใช้หรือรายรับมีความไม่แน่นอนสูง เช่น กรณีมูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซีลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชาชนต้องใช้คริปโทเคอร์เรนซีจำนวนมากขึ้นในการชำระค่าสินค้าหรือบริการ
ความเสี่ยงต่อมาคือ การถูกใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำหรับการฟอกเงินและฉ้อโกง ด้วยลักษณะของสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถโอนหรือรับโอนจากกระเป๋าส่วนตัว (private wallet) ที่ผู้ใช้บริการไม่ต้องพิสูจน์ยืนยันตัวตน จึงมีโอกาสที่จะถูกใช้เพื่อการฟอกเงิน และเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้กับการก่อการร้าย ซึ่งข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯและสำนักงานตำรวจแห่งสหภาพยุโรป (Europol) พบว่า มิจฉาชีพใช้บัญชีคริปโทเคอร์เรนซีเป็นช่องทางหลักในการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย โดยไม่ได้มีการปฏิบัติตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ความเสี่ยงอีกข้อที่สำคัญคือ การโจรกรรมทางไซเบอร์ เนื่องจากในแง่ของการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เพื่อการชำระเงิน ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐาน ข้อกำหนดหรือหน่วยงานกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัยที่ชัดเจน จึงมีโอกาสที่ผู้นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน อาจจะถูกโจรกรรมทางไซเบอร์จากการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล
ประเทศไทยมีแนวทางที่สอดคล้องกับแนวทางในต่างประเทศ ที่ส่วนใหญ่ยังไม่รับรองให้นำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเป็นสื่อกลางในการชำระเงินเป็นการทั่วไป แต่มีการเปิด Sandbox ทดสอบในขอบเขตที่จำกัด เพื่อศึกษาและประเมินความเสี่ยง รวมถึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภทที่นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินได้
หากแบ่งกลุ่มประเทศตามแนวนโยบายในการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มประเทศที่ยอมรับการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินเป็นการทั่วไป เช่น เอลซัลวาดอร์ ซึ่งยอมรับ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ชำระหนี้ได้ ภายใต้ความสมัครใจของผู้รับ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) เนื่องจากประชากรประมาณ 70% ของเอลซัลวาดอร์ไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคารแบบดั้งเดิมได้
(2) กลุ่มประเทศที่ยอมรับการนำสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภทที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล มาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และฮ่องกง ที่ออกกฎหมายรับรองการนำสินทรัพย์ดิจิทัลบางประเภท เช่น stablecoin มาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินได้ ขณะที่บางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย สนับสนุนการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลและขอบเขตการทดสอบที่จำกัด เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงของการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน ทั้งนี้ ประเทศในกลุ่มนี้ยังไม่มีการรับรองให้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสกุลเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเป็นการทั่วไป
และ (3) กลุ่มประเทศที่ห้ามนำสินทรัพย์ดิจิทัลทุกประเภทมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน เช่น จีน และอินเดีย ที่มีการห้ามไม่ให้นำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในตลาดเงินและระบบการชำระเงิน เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและคุ้มครองผู้บริโภค เนื่องจากมองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสำหรับการฟอกเงินและฉ้อโกง
บทบาทของสินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะสื่อกลางการชำระเงินยังเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของหลายประเทศ ทั้งในด้านประโยชน์และความเสี่ยง รวมถึงความเหมาะสมต่อบริบทของประเทศ สุดท้ายแล้ว การจะนำมาใช้หรือไม่ ก็ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม
เรื่อง :
เจษฎา ผโลทัยถเกิง
วิระนันท์ องค์วิเศษไพบูลย์
กลุ่มงานนโยบายและพัฒนาสกุลเงินดิจิทัล