“ปิดหนี้ไว ไปต่อได้”
กุญแจดอกใหม่ที่ช่วยปลดล็อกลูกหนี้กว่า 3 ล้านคน
ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่รายได้ก็ยังฟื้นตัวช้า ทำให้มีลูกหนี้บางส่วนไม่สามารถชำระหนี้ได้กลายเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น หากไม่เร่งแก้ไข ปัญหาหนี้ครัวเรือนอาจกลายเป็น “ล็อกขนาดใหญ่” ที่กระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยได้
สำหรับคนที่มีปัญหาการชำระหนี้ไม่ได้ และกลายเป็น “หนี้เสีย” ก็จะไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นภาระที่ฉุดรั้งทำให้ชีวิตก้าวต่อไปได้ยาก โดยเฉพาะสำหรับลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง
ในจังหวะที่ลูกหนี้กำลังมองหาทางรอด และเพื่อให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงร่วมกับกระทรวงการคลัง สมาคมธนาคารไทย บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ปลดล็อก” ให้ลูกหนี้รายย่อยได้กว่า 3 ล้านราย หรือคิดเป็น 64% ของจำนวนลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียทั้งหมดเลยทีเดียว
การดำเนินโครงการในครั้งนี้อยู่ภายใต้หลักการสำคัญที่ว่า จะต้องไม่สร้างแรงจูงใจที่ผิด จนทำให้ลูกหนี้เสียวินัยทางการเงิน (moral hazard) ควบคู่ไปกับการสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้ได้ ดังนั้น การช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นมาตรการเฉพาะกิจที่จะดำเนินการเพียงครั้งเดียว
นี่คือเบื้องหลังของโครงการ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการช่วยให้ทั้งคนไทยและเศรษฐกิจไทยเดินต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ในงานแถลงข่าวโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ณ ธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้ให้เห็นถึงความเร่งด่วนของปัญหาหนี้ครัวเรือนไว้ชัดเจนว่า
“ถ้าเราปล่อยให้สถานการณ์นี้ลากยาว ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจจะไปต่อไม่ได้ แต่ชีวิตคนไทยจำนวนมากก็จะไปต่อไม่ได้”
แนวคิดเบื้องหลังโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” นี้ เกิดมาจากการที่ภาครัฐไม่ได้มองว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นแค่เรื่องของลูกหนี้อย่างเดียวอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทแก้ไขอย่างเร่งด่วนและจริงจัง
ดร.เอกนิติยังย้ำว่า การแก้ปัญหาหนี้ต้องไม่ใช่เพียงบรรเทาภาระในระยะสั้น แต่ต้องยั่งยืน ครอบคลุม และกระจายไปทั่วถึงคนจำนวนมาก ซึ่งการที่จะผลักดันเรื่องนี้ให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมจะต้องอาศัยความร่วมมือของหลายภาคส่วน จึงเป็นที่มาของโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” นี้ขึ้นมา
คุณวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. ชี้ให้เห็นว่า โครงการนี้เน้นช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ยอดหนี้เสียไม่สูงมากนัก เพราะหากสามารถปลดล็อกให้คนกลุ่มนี้ไปต่อได้ เศรษฐกิจฐานรากที่กำลังเผชิญความยากลำบากก็จะสามารถทยอยฟื้นตัวดีขึ้นได้
“ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาใหญ่จริง ๆ เพราะมีระดับสูงถึง 87% ของจีดีพี จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยเหนี่ยวรั้งสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไปต่อลำบาก โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นหนี้เสียแล้ว ซึ่งส่งผลกระทบทั้งในแง่ความเป็นอยู่ของประชาชนและเศรษฐกิจในภาพรวม”
การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในครั้งนี้จะดำเนินการเป็นระยะ ๆ โดยในระยะแรก บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) จะรับซื้อหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมาย ที่เป็นหนี้กับธนาคารพาณิชย์และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์จำนวนประมาณ 1.2 ล้านราย ภาระหนี้ประมาณ 43,600 ล้านบาท เพื่อนำมาปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนเพื่อให้ลูกหนี้กลับมาจ่ายชำระหนี้ได้ สำหรับลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) จะได้รับการช่วยเหลือผ่านกลไกการขายและโอนหนี้ให้กับบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (ARI-AMC) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนอีก 3.3 แสนบัญชี
“เรามีเป้าหมายที่จะแก้ปัญหากลุ่มนี้ก่อน เพื่อให้เขากลับมาลืมตาอ้าปาก และกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้”
หนึ่งในความร่วมมือสำคัญของโครงการนี้คือ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งที่ผ่านมาเป็นผู้ที่ทำหน้าที่จัดการหนี้เสีย แต่ในโครงการนี้ SAM จะเข้ามารับบทบาทใหม่ในฐานะ “บริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อสังคม” หรือ social AMC ที่ก้าวเข้ามาทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง
ในระยะแรก SAM จะรับซื้อหนี้ NPL ที่ไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงติ่งหนี้ของหนี้ที่เคยมีหลักประกัน (แต่ไม่รวมถึงสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ และสินเชื่อ nano finance ที่มีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน เพราะถือเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน) ของธนาคารพาณิชย์ และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ โดยจะรับโอนหนี้และเป็นตัวกลางหลักในการช่วยเหลือลูกหนี้
“บทบาทของ SAM คือ รับโอนหนี้จากธนาคารพาณิชย์ และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ โดยจะออกมาตรการย่อยให้ลูกหนี้เลือกเข้าร่วมอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มุ่งหวังเป้าหมายในการทำกำไร เพราะมีเป้าหมายเป็น social AMC เพื่อช่วยเหลือคนจริง ๆ” คุณนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ SAM กล่าวถึงบทบาทที่เปลี่ยนไปภายใต้โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้”
คุณวิภาวิน พรหมบุญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. สายนโยบายสถาบันการเงิน เล่าว่า โครงการนี้ถูกออกแบบเป็น “มาตรการเฉพาะกิจ” เพื่อช่วยลูกหนี้ NPL จำนวนมาก โดยเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ NPL ที่มีคุณสมบัติครบทุกข้อ ดังนี้
(1) เป็นลูกหนี้บุคคลธรรมดา
(2) สถานะหนี้ NPL ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 เป็นหนี้ที่ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า 90 วัน
(3) มีภาระหนี้ NPL รวมทุกผู้ให้บริการทางการเงิน และทุกประเภทสินเชื่อ ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย โดยนับเฉพาะภาระหนี้ที่มีกับผู้ให้บริการทางการเงินที่รายงานข้อมูลในเครดิตบูโร และใช้ภาระหนี้ตามการรายงานของเครดิตบูโร
โครงการนี้จะช่วยลูกหนี้เสียให้ได้ลดภาระหนี้สินที่มี ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน และกลับมาเป็นลูกหนี้ดีได้ง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยให้ประวัติชำระหนี้ในเครดิตบูโรปรับดีขึ้น และมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้ในอนาคต
โครงการนี้จะเสนอทางเลือกให้กับลูกหนี้ทุกคนอย่างเท่าเทียม ผ่าน 2 มาตรการย่อย คือ
1. มาตรการ "จ่ายปิดจบ" ในคราวเดียว โดยลูกหนี้สามารถเข้ามาจ่ายคืนหนี้บางส่วนแก่ SAM เพื่อปิดบัญชีได้
2. มาตรการ "ผ่อนชำระเป็นงวด" ซึ่งจะลดภาระหนี้บางส่วนให้กับลูกหนี้ และให้จ่ายส่วนที่เหลือโดยผ่อนชำระเป็นงวด ไม่เกิน 36 งวด (3 ปี) ให้กับ SAM ตามเงื่อนไขโครงการ ที่สำคัญ อัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นระหว่างเข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับการยกเว้น
ทั้งนี้ คุณชัยยศ ตันพิสุทธิ์ ผู้แทนสมาคมธนาคารไทยเห็นว่า การมีมาตรฐานเดียวกันสำหรับทุกสถาบันการเงิน จะเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ลูกหนี้ไม่สับสน เพราะไม่ว่าลูกหนี้จะไปติดต่อสถาบันการเงิน หรือเจ้าหนี้รายใดก็จะมีมาตรฐานเดียวกัน
หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือ “การฟื้นฟูประวัติทางการเงิน” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เพราะหากลูกหนี้เลือกจ่ายปิดจบในคราวเดียว ข้อมูลในเครดิตบูโรจะถูกปรับเป็นสถานะ “ชำระหนี้ปิดบัญชี” (รหัส 11) ทันที ส่วนกรณีเลือกผ่อนชำระ สถานะจะปรับเป็น “จ่ายชำระหนี้ได้ตามปกติ กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่รับซื้อหรือรับโอนมา” (รหัส 16) ตั้งแต่งวดแรกที่จ่ายได้ตามกำหนด และจะเปลี่ยนเป็นรหัส 11 เมื่อผ่อนจนครบตามสัญญา
“หากลูกหนี้เข้าร่วมโครงการและปิดหนี้ได้สำเร็จตามเงื่อนไข จะมีสถานะ “ชำระหนี้ปิดบัญชี” ไม่มีหนี้ค้างชำระ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจและวินัยทางการเงิน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยื่นขอสินเชื่อใหม่ในอนาคต” ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด กล่าวย้ำ
การแก้ปัญหาหนี้เสียภายใต้โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” จะทำให้ลูกหนี้ได้รับการปรับปรุงข้อมูลสถานะเครดิตบูโร ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้ลูกหนี้สามารถกลับมามีสถานะปกติ และเข้าถึงสินเชื่อได้ในอนาคต
มาทำความรู้จักรหัสตัวเลขที่จะพบในโครงการนี้กัน
ก่อนโอนหนี้จากเจ้าหนี้เดิม
- รหัส 20 คือ มีหนี้ค้างชำระเกินกว่า 90 วัน
เมื่อเจ้าหนี้เดิมโอนขายหนี้ให้แก่ AMC
- รหัส 42 คือ โอนหรือขายหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน ซึ่งเจ้าหนี้เดิมจะรายงาน ณ วันที่โอนขายลูกหนี้มาที่ SAM
เมื่อเข้าโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้”
- รหัส 26 คือ ค้างชำระเกิน 90 วัน จากการชำระหนี้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่รับซื้อรับโอนหนี้มา ซึ่งจะได้รับเมื่อลูกหนี้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้กับ SAM แต่ยังไม่ได้ชำระหนี้
- รหัส 16 คือ จ่ายชำระหนี้ได้ตามปกติ จากการชำระหนี้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่รับซื้อหรือรับโอนมา ซึ่งจะได้รับเมื่อจ่ายชำระได้ครั้งแรก และตลอดระยะเวลาที่ลูกหนี้สามารถจ่ายคืนหนี้ตามเงื่อนไข
- รหัส 11 คือ ปิดบัญชี ซึ่งจะได้รับเมื่อลูกหนี้ปิดจบหนี้เรียบร้อยแล้ว และทำให้บัญชีที่อยู่กับเจ้าหนี้เดิมถูกปรับจากรหัส 42 มาเป็นรหัส 43 โอนหรือขายหนี้และชำระหนี้เสร็จสิ้น
- รหัส 43 คือ โอนหรือขายหนี้และชำระหนี้เสร็จสิ้น (ซึ่งสถาบันการเงินจะปรับรหัสให้หลังจากได้รับแจ้งจาก SAM ว่าลูกหนี้ได้ปิดจบหนี้เสร็จสิ้นแล้ว)
สำหรับลูกหนี้ที่มียอดหนี้เกิน 100,000 บาท หรือมีสถานะหนี้เสียรูปแบบอื่นที่ไม่เข้าเกณฑ์ ก็ไม่ใช่ว่าประตูสำหรับการช่วยเหลือจะถูกปิดลง เพราะจะยังมีมาตรการอื่นรองรับอยู่ เช่น สามารถเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของ ธปท. ส่วนกรณีหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันที่ค้างชำระเกิน 120 วัน ยังสามารถสมัครเข้าร่วม “คลินิกแก้หนี้” ที่ SAM บริหารจัดการอยู่ได้ ซึ่งมีโปรแกรมผ่อนชำระยาวสูงสุดถึง 10 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ 3–5% ต่อปี
“อย่ากลัวเจ้าหนี้ วันนี้น่าจะเป็นยุคที่เจ้าหนี้เป็นมิตรมากขึ้น” คุณนารถนารีกล่าว เพื่อให้กำลังใจถึงลูกหนี้ พร้อมย้ำว่าเป้าหมายของทุกฝ่ายคือ การช่วยลูกหนี้แก้ปัญหา เพื่อสามารถปลดความทุกข์ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้
โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เป็นการผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง สมาคมธนาคารไทย สถาบันการเงินเฉพาะกิจ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด และ ธปท. โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้มาตรการนี้บรรลุผลในทางปฏิบัติได้จริง เพราะทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญและความเร่งด่วนของปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย
“กระทรวงการคลังมีเป้าหมายร่วมกับทุกภาคส่วนในการช่วยเหลือลูกหนี้ เราต้องการให้คนไทยเดินต่อไปได้ ถ้าแก้ตรงนี้ได้ การดำเนินชีวิตและการทำธุรกิจก็น่าจะพอเดินต่อไปได้”
คุณวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ออกแบบนโยบายร่วมกับ ธปท. และสมาคมธนาคารไทย ตลอดจนผลักดันเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวกลางในการประสานงานกับทางสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้ช่วยเหลือลูกหนี้ในทิศทางที่สอดคล้องกับธนาคารพาณิชย์ด้วย
“โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการรวมพลังกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเป็นกลไกแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม ไม่สร้างภาระต่อระบบการเงิน และที่สำคัญไม่ก่อให้เกิดการสร้างแรงจูงใจที่ผิดในระยะยาว”
คุณชาติศิริ โสภณพนิช ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย กล่าว พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า ธนาคารพาณิชย์ไม่ควรและไม่อยากปล่อยให้ลูกหนี้กลุ่มนี้หลุดออกจากระบบ เพราะหากพวกเขากลับมาได้ ทุกคนในระบบก็จะได้ประโยชน์ร่วมกัน
และนี่คือพลังแห่งความร่วมมือครั้งสำคัญ ที่มีเป้าหมายที่จะช่วยฉุดคนที่ติดกับดักหนี้เสียให้สามารถลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง ซึ่งหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมามีรากฐานที่เข้มแข็งและมีอนาคตที่สดใสได้อีกครั้ง