ถ้าลดดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำไปนาน ๆ
จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้จริงไหม?
หนี้ครัวเรือนสำคัญอย่างไร เกี่ยวข้องอะไรกับประชาชนและระบบเศรษฐกิจ?
ทำไมสถาบันการเงินลดดอกเบี้ยไม่เท่าที่แบงก์ชาติลด?
ถ้าแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยลูกหนี้ได้จริงใช่ไหม?
ถ้าช่วยได้ ทำไมแบงก์ชาติไม่ลดดอกเบี้ยลงให้ต่ำ ๆ แล้วคงไว้ไปนาน ๆ ล่ะ
พระสยาม BOT MAGAZINE ขอชวนผู้อ่านไปหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ และไปดูกันว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำอะไรบ้างเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นนี้บ้าง
แค่เห็นคำว่า “หนี้” หลาย ๆ ท่านก็อาจจะเริ่มคิดแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่แท้จริงแล้ว “หนี้ครัวเรือน” เป็นเครื่องมือของประชาชนในการบริหารสภาพคล่องให้ครัวเรือนของตนเอง โดยสถาบันการเงินจะเปิดโอกาสให้สามารถกู้เงินในอนาคตมาใช้ก่อน เพื่อบริโภคหรือลงทุน เพราะให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่จะได้รับจากวันนี้มากกว่าในอนาคต เช่น การมองเห็นโอกาสในการลงทุน ความจำเป็นต้องใช้เงินเพราะรายได้หดหาย หรือการเผชิญรายจ่ายที่ไม่คาดคิด
แม้ว่าแนวโน้มการก่อหนี้ของไทยจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets: EMs)[1] ที่ครัวเรือนต้องพึ่งพาการก่อหนี้ควบคู่ไปกับเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัว แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยก็ยังสูงกว่าประเทศ EMs อื่น ๆ ค่อนข้างมากและมีทิศทางสูงขึ้นกว่าในอดีต ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนไทยสูงติด อันดับ top 10 ของโลก[2] การก่อหนี้ของครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นมีที่มาจากหลายปัจจัย เช่น การเกิดน้ำท่วมใหญ่ นโยบายรถคันแรกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2554 วิกฤตโควิด 19 รวมไปถึงความต้องการก่อหนี้เพื่อใช้จ่ายของครัวเรือนเองซึ่งมีทั้งเหตุจำเป็นและการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ทั้งหมดนี้ทำให้หนี้ถูกสะสมมาเรื่อย ๆ จนอยู่ในระดับที่สูงมากแม้ว่าระยะหลังจะทยอยลดลงบ้างแล้วก็ตาม
หากพิจารณาจากรายได้ รายจ่าย และหนี้ครัวเรือนของไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 2.8% ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นช้ากว่ารายจ่ายที่เพิ่มขึ้น 3.9% และหนี้ที่เพิ่มขึ้น 3.1% ต่อปี ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากวิกฤตโควิด 19 ที่ทำให้รายได้หดหายกะทันหัน เงินออมเผื่อฉุกเฉินก็ร่อยหรอ ทำให้หลายครัวเรือนต้องกู้ยืมเงินมาเสริมสภาพคล่อง มิหนำซ้ำปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยยังทำให้เศรษฐกิจและรายได้ครัวเรือนฟื้นไม่ดีเท่าที่คาดหวังไว้ กระทบความสามารถในการชำระหนี้ จนกลายเป็นหนี้เสีย (Non-performing Loans: NPL) โดยข้อมูลจากเครดิตบูโรระบุว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสัดส่วนลูกหนี้ที่มีหนี้เสียเพิ่มขึ้นจาก 17.5% เป็นกว่า 21.3%
แล้วหนี้เสียนี้จะส่งผลกระทบต่อใคร? อย่างไรบ้าง? ในกรณีเลวร้ายที่สุด หากครัวเรือนจำนวนมากประสบปัญหาหนี้เสียพร้อม ๆ กัน และไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันท่วงทีก็อาจกระทบต่อไปยังฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินที่เป็นผู้ปล่อยกู้ สถาบันการเงินอาจลดการปล่อยสินเชื่อใหม่ หรือปล่อยกู้ด้วยวงเงินที่น้อยลง ซึ่งก็จะย้อนกลับมากระทบต่อสภาพคล่องของครัวเรือนเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสถาบันการเงินไม่สามารถรับมือกับปัญหาหนี้เสียได้ ก็อาจลุกลามเป็นลูกโซ่ไปยังความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงิน และภาคส่วนอื่น ๆ ในระบบการเงิน กลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่กระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน เช่น วิกฤตซับไพรม์ของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2550-2551 และ Credit Card Crisis ของเกาหลีใต้ ในปี 2546 ที่มีต้นเหตุมาจากการปล่อยสินเชื่อที่ขาดการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้อย่างถี่ถ้วนและการแข่งขันกันทำกำไรของผู้ปล่อยกู้ จนเมื่อเกิดปัญหาอัตราการผิดนัดชำระหนี้จึงเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ลุกลามกลายเป็นปัญหาการขาดสภาพคล่องระยะสั้น กระทบความมั่นคงของเจ้าหนี้หลายแห่ง ดังนั้น เรียกได้ว่าหนี้ครัวเรือนอาจเป็นสาเหตุของระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่มีความอันตราย ทั้งต่อภาคครัวเรือนและระบบการเงินของประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
จะเห็นได้ว่า หนี้ครัวเรือนเปรียบเสมือนอาการป่วยที่เกิดจากทั้งพฤติกรรมของเราเองและสภาพแวดล้อมที่สะสมมานานจนเริ่มเรื้อรัง หากปล่อยทิ้งไว้จะมีโอกาสลามไปจุดอื่น ๆ ที่ยังทำงานได้ปกติ จนกลายเป็นปัญหาในระบบการเงิน และยังฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจอีกด้วย
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีส่วนช่วยบรรเทาภาระการจ่ายหนี้ของครัวเรือนได้บางส่วน โดยเฉพาะสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (floating rate) นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่ลดลงก็อาจช่วยกระตุ้นให้มีการปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นและเพิ่มสภาพคล่องให้กับครัวเรือน แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ครัวเรือนฝั่งผู้ออมได้รับผลตอบแทนลดลง ทั้งจากดอกเบี้ยเงินฝากและผลตอบแทนจากสินทรัพย์อื่นที่เคลื่อนไหวตามทิศทางดอกเบี้ย
เรามาดูกันว่า หาก ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง จะเกิดผลอะไรตามมาบ้าง โดยจากภาพจะเห็นได้ว่า
1. ภาระผ่อนชำระลดลง สำหรับผู้กู้บางราย จากข้อมูลสินเชื่อรายย่อยในระบบธนาคารพาณิชย์พบว่า 50% ของยอดหนี้คงค้างเป็นสินเชื่อที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ซึ่งเป็นสินเชื่อที่จะได้รับประโยชน์เมื่อดอกเบี้ยอ้างอิง ได้แก่ MLR MRR MOR[3] ปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สำหรับสินเชื่อบางประเภท เช่น สินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจ การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระผ่อนหนี้ต่อเดือนได้ทันที ขณะที่สินเชื่อบางประเภทอาจยังต้องผ่อนต่อเดือนเท่าเดิม เช่น สินเชื่อบ้าน แต่จะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการตัดเงินต้นที่มากขึ้นทำให้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ ยังมีหนี้อีกราว 50% เป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ (fixed rate) ที่ดอกเบี้ยในสัญญาเดิมจะไม่ได้รับการปรับลด
2. ครัวเรือนอาจได้รับสภาพคล่องเพิ่ม เมื่อดอกเบี้ยลดลงก็คือต้นทุนทางการเงินลดลง ช่วยกระตุ้นทั้งความต้องการขอสินเชื่อของประชาชนและความต้องการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน โดยครัวเรือนจะเข้าถึงเงินกู้ได้ในราคาที่ถูกลง ซึ่งจะช่วยประคับประคองครัวเรือนที่กำลังขาดสภาพคล่องได้ ขณะเดียวกันสถาบันการเงินก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในราคาที่ถูกลงเช่นกัน ทำให้มีการปล่อยสินเชื่อให้ครัวเรือนเพื่ออุปโภคบริโภคและประกอบธุรกิจได้มากขึ้น การใช้จ่ายและลงทุนก็จะมากขึ้นทำให้เศรษฐกิจขยายตัวและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่ได้สามารถช่วยกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อได้เสมอไป เพราะการพิจารณาปล่อยสินเชื่อยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้กู้ ความเสี่ยงที่สถาบันการเงินยอมรับได้ (risk appetite) และแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้กู้อยู่ในระดับสูง แนวโน้มเศรษฐกิจยังอ่อนแอ และโอกาสทางธุรกิจมีจำกัด ปัจจัยเหล่านี้ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ประชาชนและผู้ประกอบการจึงอาจได้รับประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายน้อยลง
3. ผู้ฝากเงินได้ผลตอบแทนน้อยลง ในภาพรวม ครัวเรือนไทยกว่า 1 ใน 3 เก็บสินทรัพย์ไว้ในรูปแบบเงินฝาก ข้อมูลเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์พบว่าประมาณ 94% ของบัญชีเป็นเงินฝากออมทรัพย์ และ 6% เป็นเงินฝากประจำ แต่หากดูเป็นมูลค่า เงินฝากออมทรัพย์จะคิดเป็น 68% และเงินฝากประจำ 32% ของเงินฝากทั้งหมด การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้ผู้ฝากเงินได้รับผลตอบแทนที่ลดลง โดยที่ผ่านมาเวลาธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ย มักปรับที่เงินฝากประจำออกขายใหม่มากกว่าปรับที่เงินฝากออมทรัพย์ ทำให้ผู้ฝากเงินจำนวนไม่มากนักที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่ต่ำลงก็อาจทำให้คนไม่อยากออมเงิน และเลือกที่จะนำเงินไปใช้จ่ายหรือลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ได้ผลตอบแทนมากกว่า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ และอาจส่งผลให้ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นในทางอ้อม ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวและเงินเฟ้อสูงขึ้นได้
ดังนั้น หากหนี้ครัวเรือนเปรียบเสมือนอาการป่วย ดอกเบี้ยต่ำก็เป็นเหมือนยาพารา ที่ใคร ๆ ก็นึกถึงเวลาเจ็บป่วย ตัวยาอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคได้ ดอกเบี้ยต่ำก็ช่วยบรรเทาภาระให้กับครัวเรือนบางกลุ่มได้ แต่ก็อาจจะไม่ได้ผลกับทุกคน และไม่ได้เป็นการแก้ที่ต้นตอของโรคให้หาย
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือที่มีผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง (blunt tool) การปรับลดดอกเบี้ยให้ต่ำไปนาน ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระหนี้ครัวเรือนก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ เพราะดอกเบี้ยที่ต่ำจะส่งผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจต่าง ๆ ของหลายภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจด้วย
จากประสบการณ์ในอดีตของหลายประเทศทำให้เห็นว่า การคงดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานก่อให้เกิดความไม่สมดุลในระบบการเงิน เช่น ต้นทุนทางการเงินหรือดอกเบี้ยที่ต่ำ มักกระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้เพื่อเก็งกำไรในสินทรัพย์ จนทำให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงเกินที่ควรจะเป็น หรือเกิดภาวะฟองสบู่ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหากเศรษฐกิจเผชิญปัจจัยลบเข้ามาหรือดอกเบี้ยปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว ฟองสบู่อาจแตกได้ เช่น วิกฤตซับไพรม์
ในบริบทของไทย อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องช่วงปี 2558–2561 มีส่วนทำให้เกิดการสะสมความเปราะบางในเสถียรภาพระบบการเงิน4 ตัวอย่างที่เห็นชัด คือ (1) การกระตุ้นพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทน (search for yield) ที่มาพร้อมกับการประเมินความเสี่ยงที่ต่ำเกินควร (underpricing of risks) ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เพราะต้องการได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก กระทั่งต้นปี 2559 ก็เกิดเหตุผิดนัดชำระหนี้ซึ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของระบบการเงินโดยรวมตามมา และ (2) การบิดเบือนพฤติกรรมการมีหนี้ที่เหมาะสม โดยเฉพาะการก่อหนี้ครัวเรือนที่เป็นปัญหาเรื้อรังจนถึงปัจจุบัน แม้บางส่วนจะเพิ่มขึ้นจากมาตรการของรัฐ เช่น รถคันแรกและบ้านหลังแรก แต่หนี้จำนวนมากก็ยังมีสาเหตุมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจนเอื้อให้ก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น เกินตัว และไม่ก่อให้เกิดรายได้ ภาระหนี้ที่สะสม ทำให้ครัวเรือนเปราะบาง และกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถขอกู้เพิ่มเพื่อปรับตัวหรือสร้างรายได้ใหม่
แม้ดอกเบี้ยต่ำช่วยบรรเทาภาระหนี้ในระยะสั้นได้ แต่ก็ไม่ใช่เครื่องมือหลักที่จะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน เพราะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นกับความเสี่ยงที่อาจสะสมในระบบการเงินระยะยาว (trade-off)[5] นอกจากนี้ ภาระหนี้ที่เบาลงจากการลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวก็อาจไม่เพียงพอให้ครัวเรือนกลับมาตั้งหลักได้ โดยเฉพาะกรณีของสินเชื่อบ้านที่ภาระผ่อนต่อเดือนอาจไม่ได้ลดลง และไม่เป็นการช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับครัวเรือนที่ยังคงประสบปัญหา ดังนั้น จึงควรใช้มาตรการแบบผสมผสาน (policy mix) ร่วมกับมาตรการแก้หนี้เฉพาะจุดอื่น ๆ รวมถึงมาตรการช่วยเพิ่มรายได้และศักยภาพของลูกหนี้ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืนนั่นเอง
โดยสรุปแล้ว การคงอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ๆ จึงเปรียบเหมือนการทานยาพาราต่อเนื่อง ซึ่งย่อมทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมา ไม่ว่าจะเป็นการดื้อยา ตับทำงานหนักขึ้น จนลามไปป่วยส่วนอื่น ๆ ดังนั้น การรักษาโรคหนี้ครัวเรือนจึงควรมุ่งเน้นการรักษาที่ต้นเหตุ โดยใช้เครื่องมือที่ตรงจุด จึงจะมีประสิทธิผลในการรักษามากกว่า
ในช่วงที่ผ่านมา ธปท. ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ร่วมกับการออกแก้มาตรการหนี้ครัวเรือนเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาหนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการแก้หนี้เดิมให้มีความเฉพาะเจาะจงและตรงจุด และการดูแลให้การปล่อยหนี้ใหม่ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ โดยมีหลักการและตัวอย่างโครงการ ดังนี้
หลักการสำคัญของการแก้หนี้เดิม คือการดูแลให้ภาระหนี้เหมาะสมกับรายได้ ลูกหนี้มีสภาพคล่องเพียงพอ และปิดจบหนี้ได้ในเวลาที่เหมาะสม เช่น โครงการ “คลินิกแก้หนี้” (debt clinic) เป็นตัวกลางที่คอยช่วยลูกหนี้ที่ประสบปัญหาผิดนัดชำระของสินเชื่อบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคล ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสม “หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม” (Responsible Lending) ที่เริ่มบังคับใช้ปี 2567 กำหนดให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้ต้องช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้อย่างน้อย 2 ครั้ง ก่อนและหลังเป็น NPL เพื่อให้ลูกหนี้มีทางเลือกในการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ รวมถึงโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่จะช่วยทั้งลดภาระผ่อนให้ลูกหนี้และยังช่วยให้ลูกหนี้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น และโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ที่จะช่วยให้ลูกหนี้ที่มีหนี้เสียปิดจบหนี้ กลับมามีประวัติที่ดีขึ้น และสามารถกลับมาตั้งหลักใหม่ได้อีกครั้ง
หลักการสำคัญของการคุมหนี้ใหม่ คือต้องดูแลให้การปล่อยหนี้ใหม่มีคุณภาพ ป้องกันการก่อหนี้เกินตัว โดย ธปท. มีการกำกับดูแลกระบวนการให้สินเชื่อตลอดวงจรหนี้ ตามเกณฑ์ Responsible Lending ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อ การโฆษณา กระบวนการขายที่ต้องโปร่งใส ให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน และให้ความเป็นธรรมกับลูกหนี้ อีกทั้งจะต้องมีกระบวนการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้ยังมีเงินเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพ
นอกจากนี้ ธปท. ยังมีเครื่องมือหลากหลายเข้ามาร่วมกำกับดูแล ไม่ให้เกิดความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อระบบการเงินในวงกว้าง เช่น เกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-value: LTV) หรือเกณฑ์วงเงินต่อรายได้ของสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ (Loan to income: LTI)
ท้ายที่สุด แม้มาตรการแก้หนี้ต่าง ๆ จะช่วยบรรเทาภาระทางการเงิน ลดปัญหาและเพิ่มสภาพคล่องให้กับครัวเรือน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดสำคัญที่ผู้ดำเนินนโยบายต้องระวังคือการช่วยเหลือที่อาจไปกระทบวินัยทางการเงิน ทำให้ลูกหนี้เคยชินและก่อหนี้เกินตัวซ้ำเพื่อรอรับความช่วยเหลือ (moral hazard) ดังนั้น จึงควรแก้ปัญหาหนี้ให้เกิดความยั่งยืน โดยการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เป็นโจทย์สำคัญที่ทุกภาคส่วนควรร่วมมือกันเพื่อ (1) ยกระดับทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด (2) การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้แรงงานปรับตัวได้ต่อเนื่อง และ (3) การพัฒนาการศึกษาและหลักสูตรฝึกอบรมที่รองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้ครัวเรือนในระยะยาว และจะสามารถแก้ปัญหาหนี้ได้อย่างยั่งยืน
เราคงเห็นแล้วว่า การรักษาโรคหนี้ครัวเรือนต้องใช้ระยะเวลา และต้องทำพร้อมกันในหลายมิติให้ครบวงจร การพึ่งพาเฉพาะดอกเบี้ยต่ำเพียงอย่างเดียว อาจช่วยบรรเทาปัญหาได้บ้าง แต่ไม่ได้ทำให้โรคหายขาด มิหนำซ้ำยังเสี่ยงก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมาด้วย ดังนั้น การใช้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อแก้หนี้ต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงอย่างเหมาะสมและทางแก้หนี้อื่น ๆ พร้อมกันไปด้วย
[1] กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Markets: EMs) ตามการจัดกลุ่มของ Bank for International Settlements (BIS) ประกอบด้วย 29 ประเทศ โดยสามารถดูรายละเอียดได้จาก (BIS: Annual Economic Report, 2025)
[2] ที่มา : หนี้ครัวเรือนต่อ GDP จากการเก็บข้อมูลของ BIS
[3] MLR คือ Minimum Loan Rate / MRR คือ Minimum Retail Rate / MOR คือ Minimum Overdraft Rate
[4] สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในรายงานเสถียรภาพระบบการเงินไทยปี 2558-2560
[5] ธีรภาพ และคณะ. (2568). ส่องปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย : สาเหตุุและทางเลือกของนโยบายการเงิน. aBRIDGEd 5/2568. สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์.