ภารกิจพิชิตขยะ
แบบฉบับ “แบงก์ชาติ”
ในวันที่ฤดูกาลแปรปรวนจนคาดเดาได้ยาก ฝนตกกลางหน้าแล้ง น้ำท่วมแรงในหน้าฝน ภาพเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกตาอีกต่อไป เบื้องหลังของความ “ไม่ปกติ” เหล่านี้ คือสัญญาณเตือนจากโลกใบเดิมที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ที่ประเทศไทย แต่ทั่วโลกต่างลุกขึ้นมาทบทวน ถามหาสาเหตุ และพยายามหาทางรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในแบบของตัวเอง
สำหรับประเทศไทย หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ต่างเริ่มลงมือปรับตัวและหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น เช่นเดียวกันกับธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ครั้งนี้พระสยาม BOT MAGAZINE ขอชวนผู้อ่านไปดูเส้นทางการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อมในแบบฉบับของแบงก์ชาติ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันว่าสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร
แม้แบงก์ชาติจะให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง แต่ก็เข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงขององค์กรใหญ่ต้องอาศัยเวลาและวิธีการแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสม ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของพี่น้องชาวแบงก์ชาติทุกคน
แบงก์ชาติมีถึง 4 สำนักงาน และ 9 สำนักงานที่ดูแลการผลิตและจัดการธนบัตร มีบุคลากรมากกว่า 3,000 คน ยังไม่นับรวมแขกผู้มาเยือนในแต่ละวันอีกนับร้อย จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะสร้างขยะจำนวนมาก ในขั้นตอนแรกจึงเลือกภารกิจง่าย ๆ แต่ได้ impact คือ ปลูกฝังนิสัยการแยกขยะและลดการใช้โฟม
ในปี 2557 การแยกขยะเป็นกิจกรรมใหม่ที่พนักงานยังไม่คุ้นเคย แต่เพื่อช่วยลดปริมาณขยะในองค์กร และปลูกฝังนิสัยการแยกขยะให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของทุกคน แบงก์ชาติจึงต้องหาแรงจูงใจผ่าน “โครงการธนาคารขยะ” ที่สนับสนุนให้พนักงานฝึกแยกขยะแล้วนำไปแลกของรางวัล ไม่นานนักก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง คนใส่ใจการแยกขยะกันมากขึ้น แบงก์ชาติจึงเดินหน้าสนับสนุนการปรับพฤติกรรมต่อไปด้วยการประกาศนโยบายบริหารจัดการขยะ เพื่อให้พนักงานยึดเป็นหลักร่วมกัน รวมทั้งเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบถังขยะและป้ายแบ่งถังขยะแต่ละประเภทให้ชัดเจนขึ้น ได้แก่ ถังขยะทั่วไป ถังขยะรีไซเคิล และถังขยะเศษอาหาร ต่อมาเมื่อพนักงานเริ่มคุ้นเคยกับการแยกขยะแล้ว ก็มีการเพิ่มประเภทถังขยะให้ละเอียดมากขึ้นเพื่อความสะดวกของผู้ทิ้งและผู้เก็บให้ละเอียดมากขึ้นเพื่อความสะดวกของผู้ทิ้งและผู้เก็บ
นอกจากนี้ ในช่วงเริ่มต้น แบงก์ชาติยังส่งเสริมนโยบายเลิกใช้โฟม ทำให้แบงก์ชาติได้รับการประกาศเป็นองค์กรปลอดโฟม ต่อมาได้ทยอยลดการใช้พลาสติกภายในองค์กร โดยขอความร่วมมือของร้านค้าที่เข้ามาจำหน่ายอาหารในพื้นที่ พร้อมทั้งรณรงค์ให้พนักงานหันมาใช้แก้วน้ำส่วนตัวแทนการใช้แก้วกระดาษหรือพลาสติก ซึ่งแบงก์ชาติก็ได้สนับสนุนด้วยการแจกแก้วน้ำให้เป็นไอเทมประจำตัวของแต่ละคนอีกด้วย
เมื่อการแยกขยะเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก็พบว่ามีอีกภารกิจซ้อนที่ต้องเร่งลงมือนั่นคือ การจัดการขยะเศษอาหาร (food waste) ที่เหลือทิ้งจากโรงอาหารเฉลี่ยสูงถึง 100 กิโลกรัมต่อวัน โดยเริ่มจากการให้ทุกคนทิ้งเศษอาหารที่กินเหลือด้วยตัวเอง เมื่อได้เห็นพฤติกรรมการกินของตนแล้ว ก็ทำการรณรงค์ “ซื้อเท่าที่กิน” คือสามารถแจ้งร้านค้าขอลดปริมาณข้าวเป็นขนาด S M หรือ L ได้ตามพฤติกรรมการกิน
พนักงานให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทำให้ปริมาณเศษอาหารลดลงต่อเนื่องจาก 100 กิโลกรัมต่อวันเหลือเพียงประมาณ 25 กิโลกรัมต่อวันเท่านั้น และที่สำคัญเศษอาหารเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกทิ้งไปเฉย ๆ แต่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป เช่นเดียวกับขยะประเภทอื่น ๆ
“แยกแล้ว ทำอย่างไรต่อ?” “สุดท้ายแล้วก็เทรวมกันรึป่าว?” คำถามเหล่านี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดว่า “ถ้าเราสามารถเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นประโยชน์ได้ ก็คงดีกว่าการทิ้งไปเฉย ๆ ” แบงก์ชาติจึงเริ่มมองหาเครือข่ายที่มีแนวคิดเดียวกัน เพื่อช่วยต่อยอดการจัดการขยะอย่างยั่งยืน
ในช่วงแรก เราได้ส่งต่อขยะพลาสติกที่แยกไว้ไปยังโรงงานในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อนำไปแปรรูปเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์การเกษตร แต่ปัจจุบันมีพาร์ตเนอร์เพิ่มมากขึ้นเพื่อจัดการขยะแต่ละประเภทและนำไปทำประโยชน์ต่อให้ได้มากที่สุด
แบงก์ชาติได้ร่วมมือกับ Wake Up Waste แพลตฟอร์มการซื้อขายและจัดการขยะรีไซเคิลที่มารับซื้อขยะถึงสำนักงาน และยังมาร่วมทำ “โครงการขายขยะส่วนตัว” ทุกเดือน ที่เป็นโครงการช่วยรับซื้อขยะที่ไปรีไซเคิลได้ เช่น พลาสติก โลหะ กระดาษ น้ำมันพืชใช้แล้ว ของพนักงาน ซึ่งจูงใจให้ครอบครัวของพนักงานแยกขยะจากที่บ้านมาขายที่สำนักงานได้ ในช่วงปิดเทอมจึงได้เห็นพ่อแม่ที่เป็นพนักงานพาลูก ๆ มาขายขยะด้วย เด็ก ๆ ก็ได้เรียนรู้และปลูกฝังนิสัยการแยกขยะไปในตัว ที่น่าประทับใจ คือ ปีแรกที่เริ่มโครงการรับซื้อขยะได้ไม่ถึง 200 กิโลกรัมต่อครั้ง แต่หลัง ๆ มานี้รับซื้อขยะได้เกือบ 1 ตันต่อครั้ง และผู้ร่วมกิจกรรมก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเป็นอีกก้าวเล็ก ๆ ที่มีคุณค่าต่ออนาคตของสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
สำหรับขยะพลังงานและอื่น ๆ จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่หนึ่งถูกส่งไปที่ “วิสาหกิจชุมชนแนวร่วมปฏิวัติขยะสุพรรณบุรี” ที่เปิดรับขยะหลากหลายประเภท นำไปผ่านกระบวนการผลิตเป็นกระเบื้องที่แข็งแรงทนทาน และน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนที่ 2 กระดาษชำระเช็ดมือ ส่งให้ร้านกวางทองเพิ่มพูนทรัพย์ และส่วนสุดท้ายจะถูกส่งไปที่เผาเป็นพลังงานโดยสำนักงานกรุงเทพมหานคร สร้างคุณค่าใหม่ให้กับขยะเหล่านี้ต่อไป
ด้านขยะเศษอาหาร ส่วนมากจะถูกนำไปเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ผ่านเครื่องย่อยเศษอาหารของแบงก์ชาติ นำไปหมักกับเศษใบไม้จนได้ปุ๋ย homemade คุณภาพดี ที่นำมาใช้กับพื้นที่สวนกว้างใหญ่ของแบงก์ชาติเอง
กิจกรรมรื่นเริงเป็นงานที่สร้างขยะจำนวนมหาศาล แล้วองค์กรใหญ่แบบนี้จะไม่มีกิจกรรมอะไรเลยหรือ? ปี 2568 นี้ แบงก์ชาติได้ทดลองจัดกิจกรรมแบบ “สร้างขยะน้อยที่สุด” ผ่านงาน “Quality of Life” ที่รวมความรู้เรื่องพลังงาน สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และด้านไอทีไว้ด้วยกัน
แต่สิ่งที่พนักงานตั้งตารอมากที่สุดคือตลาด Green Market ที่คัดสินค้ารักษ์สิ่งแวดล้อม สินค้าเพื่อสุขภาพ และอาหารอร่อย ๆ มาให้เลือกสรร ในครั้งนี้แบงก์ชาติได้ร่วมงานกับ “Eco Crew” บริการภาชนะให้เช่าที่มาช่วยแก้ปัญหาขยะบรรจุภัณฑ์ใช้ครั้งเดียวทิ้ง และรณรงค์ให้พนักงานทุกคนพกถุงผ้า แก้วน้ำ และกล่องอาหารไปใส่ของที่ซื้อภายในงานด้วย ทำให้ในเวลา 4 วันที่จัดกิจกรรมนี้สร้างขยะน้อยที่สุดตั้งแต่เคยจัดกิจกรรมมา เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และในกิจกรรมต่อ ๆ ไป ฝ่ายงานในแบงก์ชาติจะนำแนวคิดเดียวกันนี้ไปต่อยอดเพื่อจัดงานเลี้ยงหรือกิจกรรมที่สร้างขยะน้อยที่สุดด้วยเช่นกัน
ในปี 2563 ธปท. ได้นำอาคาร 2 ของสำนักงานใหญ่เข้าร่วมโครงการสำนักงานสีเขียวของกรมเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มีข้อกำหนดเกณฑ์มาตรฐานต่าง ๆ เช่น การกำหนดมาตรการประหยัดพลังงานและใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า การบริหารจัดการของเสียให้มีการนำกลับมาใช้ใหม่ การจัดประชุมสัมมนาและการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมสถานที่ทำงานให้น่าอยู่และปลอดภัย ซึ่งสำนักงานใหญ่ของแบงก์ชาติได้รับรางวัลระดับดีเยี่ยม (เหรียญทอง) ในปีนั้น และได้ขยายผลไปสู่สำนักงานภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี 2564 โดยในปี 2568 ทั้งสามสำนักงานได้ต่ออายุโครงการสำนักงานสีเขียวอีกรอบ และในปี 2569 แบงก์ชาติมีแผนจะให้ทุกสำนักงานเข้าร่วมโครงการสำนักงานสีเขียว
นอกจากนี้ แบงก์ชาติยังได้ดำเนินงานที่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมอีกมากมาย เช่น การผลิตธนบัตรจากพอลิเมอร์เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและยืดอายุการใช้งานของธนบัตร การประหยัดพลังงานไฟฟ้าและน้ำภายในสำนักงาน รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมทั้งภายในองค์กร และอื่น ๆ อีกมากมาย
เส้นทางสิ่งแวดล้อมของแบงก์ชาติยังไม่จบเพียงเท่านี้ การปรับตัวเพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องต่อไปในปีถัดไป โดยเป้าหมายใหญ่ที่ตั้งไว้คือ ลดการใช้ขยะประเภทที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง (single-use plastic) ไม่ใช่เพียงให้ลดน้อยลงแต่ความตั้งใจสูงสุดคือ การเลิกใช้พลาสติกชนิดนี้อย่างสมบูรณ์เพื่อสร้างสำนักงานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น นอกจากนี้ แบงก์ชาติยังกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้อย่างน้อย 30% ในปี 2573 (เทียบกับปีฐาน 2560) สอดคล้องกับนโยบายและแผนงานระดับชาติ (Nationally Determined Contributions: NDC) เพื่อให้แบงก์ชาติเป็นองค์กรต้นแบบที่คำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เรื่อง : กองบรรณาธิการ พระสยาม BOT Magazine