เทคโนโลยี AI ที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงานโลก
ไม่กี่ปีก่อนนี้ เราอาจจะได้ยินบางคนพูดว่า “มันอาจเร็วเกินไปที่ Artificial Intelligence หรือ AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์” แต่หลายคนกลับบอกว่า “มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิด” และตอนนี้มันมาถึงแล้ว!!!
ช่วงที่ผ่านมา เราได้เห็นข่าวคราวจากสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการปรับลดจำนวนพนักงานของบริษัทเอกชนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศอยู่เป็นระยะ แม้จะยังมีความต้องการจ้างงานใหม่อยู่บ้าง แต่แรงงานที่มีอยู่กลับไม่ตรงกับความต้องการและขาดทักษะที่จำเป็นในโลกยุคปัจจุบัน
พระสยาม BOT MAGAZINE ขอมาชวนผู้อ่านคิดไปด้วยกันว่า AI จะมีบทบาทต่อการจ้างงานและตลาดแรงงานอย่างไร ทั้งในด้านที่เป็นข้อดี ข้อเสีย ตลอดจนการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย
AI เป็นนวัตกรรมที่ชาญฉลาด แต่อีกแง่อาจเรียกได้ว่าเป็นการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ (creative destruction)1 ซึ่งหมายถึงกระบวนการที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อมาแทนที่ของเก่า มองในด้านดีกระบวนการดังกล่าวเป็นการสร้างการแข่งขันต่อธุรกิจเดิมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ส่งผลต่อผู้ที่ปรับตัวไม่ทัน หรือไม่สามารถปรับตัวได้ให้จำเป็นต้องออกจากตลาด จึงพูดได้ว่า AI มีทั้งข้อดีและข้อเสียขึ้นอยู่กับผู้ใช้และรูปแบบของการนำไปใช้นั่นเอง
การเข้ามาของ AI ช่วยสร้างโอกาสให้กับทุกภาคส่วน ที่เห็นได้ชัดคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แต่ในระดับที่ใหญ่กว่านั้น AI ยังเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมและยืดเยื้อมานานได้ด้วย2
ประการแรก คือ ช่วยแก้ปัญหาผลิตภาพ (productivity) และความสามารถในการแข่งขัน (competitiveness) ที่ถดถอย เนื่องด้วย AI เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และสังเคราะห์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) ทำให้ผู้กำหนดนโยบายมีข้อมูลเชิงกลยุทธ์และคำแนะนำที่รอบด้านประกอบการตัดสินใจ นำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงานไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม บริการ และเกษตรกรรม เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต และลดหรือคุมต้นทุนที่เกินจำเป็นได้ รวมถึงสร้างโอกาสในการเติบโตใหม่ให้กับแต่ละ sector และเศรษฐกิจในภาพรวมได้
อีกแง่มุมหนึ่ง AI ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะส่วนบุคคลและองค์กร ช่วยให้สามารถยกระดับทักษะเดิม (upskill) และพัฒนาทักษะใหม่ (reskill) เพื่อสร้างทักษะซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดได้ง่ายขึ้น ในระดับประเทศ AI ยังสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของการทำงานภายในภาครัฐ เพื่อลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน สามารถสร้างการเชื่อมโยงข้อมูลกันอย่างเป็นระบบ ตลอดจนให้บริการประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ทำให้รัฐสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้
ประการที่สอง AI ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและสังคมสูงวัย เมื่อโครงสร้างประชากรไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนวัยแรงงานในระบบเศรษฐกิจ การเข้ามาของ AI สามารถช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้บางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มงานที่มีลักษณะเป็นกิจวัตร งานที่ทำซ้ำ ๆ หรือมีรูปแบบเหมือนเดิม รวมถึงงานที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลเป็นจำนวนมากที่ใช้เวลานาน ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและใช้แรงงานน้อยลง ยิ่งถ้านำ AI ไปผสานกับเทคโนโลยี อาทิ ระบบอัตโนมัติ (automation) หุ่นยนต์ (robotics) หรือ การแพทย์ทางไกล (telemedicine) จะช่วยให้ทำงานบริการบางอย่างได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการแพทย์และการดูแลผู้สูงอายุ3
ประการสุดท้าย AI สามารถแก้ปัญหาความไม่สมดุลและการเข้าถึงเทคโนโลยีที่จำกัด เพื่อสร้างโอกาสและการเติบโตอย่างทั่วถึง (inclusive growth) ในปัจจุบัน โอกาสเปิดกว้างให้คนได้เข้าถึง AI มากขึ้น ภาคเอกชนทั้งบริษัทขนาดใหญ่ SMEs หรือบุคคลทั่วไป ก็สามารถเข้าถึงและใช้ AI พื้นฐาน เช่น ChatGPT Google Gemini ได้ง่ายขึ้น ช่วยให้เข้าถึงองค์ความรู้ และเครื่องมือ/เทคโนโลยีในการทำธุรกิจได้ใกล้เคียงกันแตกต่างจากในอดีตที่มีเพียงองค์กรขนาดใหญ่ หรือบุคคลที่มีทุนและทรัพยากรมากเท่านั้นที่เข้าถึงได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในระดับนโยบายสาธารณะ AI ยังสามารถวิเคราะห์ช่องโหว่ของนโยบาย และเสนอแนะนโยบายเกี่ยวกับการกระจายการจัดสรรทรัพยากร หรือการกระจายอำนาจการตัดสินใจ เพื่อให้เกิดการเติบโตที่ทั่วถึงและเป็นธรรม รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อีกด้วย
AI อาจจะสร้างโอกาสให้กับคนกลุ่มหนึ่ง แต่การเข้ามาของ AI ก็สร้างผลกระทบต่อคนบางกลุ่มด้วยเช่นกัน โดยจะแตกต่างกันไปตามแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม แม้ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ช่องว่างความเหลื่อมล้ำด้านทักษะสำหรับผู้ที่ปรับตัวไม่ทัน และมีแนวโน้มว่า AI จะมาแทนที่งานในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่ใช้ทักษะไม่มากในภาคการผลิต สำหรับภาคการเงิน นอกจากงานที่มีความซ้ำไปซ้ำมาแล้ว AI ยังมาแทนที่งานที่อาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากที่ต้องใช้เวลานานด้วย และคนกลุ่มนี้ต้องปรับตัวไปเป็นผู้ใช้งาน AI แทน
ในภาคบริการ แม้ว่า AI จะยังไม่สามารถให้บริการทางกายภาพได้ แต่หากผสานกับเทคโนโลยีเกี่ยวเนื่อง อาทิ automation, robotics หรือ telemedicine แล้ว AI จะสามารถทำงานบริการโดยทดแทนแรงงานภาคบริการที่ทำงานซ้ำ ๆ และใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว เช่น งานบริการลูกค้าผ่านคอลเซนเตอร์ และมีบทบาทผลักดันแรงงานภาคบริการไปทำงานที่มีความจำเป็นต้องใช้มนุษย์มากขึ้น เช่น การจัดการปัญหาที่ซับซ้อน การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
2-3 ปีที่ผ่านมา มีข่าวคราวและกระแสความคิดในสังคมไทยเกี่ยวกับการถูกแทนที่ของแรงงานด้วย AI ในหลายภาคส่วน ตั้งแต่ภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคการเงินการธนาคาร แม้บางกลุ่มจะยังไม่เกิดการปลดพนักงานอย่างชัดเจน แต่เมื่อพนักงานคนเก่าลาออก หลายบริษัทมีนโยบายที่จะไม่รับคนใหม่เพิ่ม รวมถึงโครงการสมัครใจเกษียณก่อนกำหนด สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าแรงงานในปัจจุบันต้องเร่งปรับตัวครั้งใหญ่ การ upskill และ reskill มีความจำเป็นมากขึ้น
แต่ในภาพรวม แนวโน้มการจ้างงานของไทยยังมีความสอดคล้องกับแนวโน้มการจ้างงานของต่างประเทศ จากผลการสำรวจ Thailand Hopes and Fears Survey 20254 ของ PwC พบว่า แรงงานไทย 72% ใช้ AI ในการทำงาน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 54% อีกทั้งการใช้ generative AI ในชีวิตประจำวันยังเพิ่มขึ้นจาก 17% ในปีที่แล้ว เป็น 24% ในปีนี้ โดยคนที่ใช้ AI เป็นประจำเห็นว่าเป็นประโยชน์ กว่า 90% เห็นว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 54% รู้สึกว่าการทำงานมั่นคงมากขึ้น และ 49% ยังได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
สำหรับประเทศไทยแล้ว AI ส่งผลให้เกิดการปลดพนักงานมากขึ้น แต่สาเหตุในการปลดพนักงานที่ผ่านมาเกิดจากสภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเป็นหลัก5 อย่างไรก็ดี รายงาน Thailand AI Readiness Assessment Report 2025 ของ TDRI6 พบว่า แม้ไทยจะมียุทธศาสตร์่ระดับชาติด้าน AI แล้วก็ตาม แต่ก็ยังขาดกฎหมายและกลไกกำกับดูแลที่จะช่วยปิดความเสี่ยง อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงพอ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการยกระดับนวัตกรรมภายในประเทศ นอกจากนี้ กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในชนบทยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล
อย่างไรก็ดี การเข้ามาของ AI ได้สร้างโอกาสให้เศรษฐกิจไทยและแรงงานไทย จากงานวิจัยของ Amazon Web Services (AWS) เมื่อปี 2567 รายงานว่า แรงงานไทยที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญด้าน AI มีแนวโน้มจะได้รับค่าจ้างสูงขึ้นมากกว่า 41%7 ส่งผลให้คนที่ปรับตัวเป็นคนที่มีทักษะด้าน AI (AI-enabled person) จะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก และ AI ยังสร้างอุปสงค์ของตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องให้เพิ่มขึ้นด้วย เช่น ตำแหน่งงาน data analytic และ machine learning ในภาคการผลิต ตำแหน่งงาน data analytic และ compliance ในภาคการเงิน
คำถามตัวโต ๆ ที่ต้องถามกันต่อไปคือ แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดแรงงาน ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อที่จะได้รับประโยชน์จาก AI
ในฝั่งนายจ้าง ต้องมีทัศนคติการใช้ AI ว่าเป็นการเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มิใช่การทดแทน และกระตุ้นให้พนักงานใช้เวลาไปกับงานเชิงกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าและส่งเสริมวัฒนธรรมเรียนรู้ตลอดชีวิตภายในองค์กร โดยเฉพาะด้านความรู้พื้นฐานทางดิจิทัล (digital literacy) การวิเคราะห์ข้อมูล (data analytics) และการเขียนคำสั่งเพื่อสื่อสารกับ AI (prompt engineering) อีกด้านหนึ่ง นายจ้างสามารถใช้ AI ประกอบในการสรรหาพนักงาน โดยประมวลผล big data จากแหล่งต่าง ๆ รวมถึง social media ด้วย
ในฝั่งลูกจ้าง นอกจากต้องเข้าใจหลักการทำงานของ AI เบื้องต้น และการใช้ AI ช่วยในการ upskill และ reskill เพื่อเป็น AI-enabled person แล้ว ทักษะที่ AI ยังทำแทนไม่ได้ หรือทักษะที่มนุษย์ทำได้ดีกว่า เช่น การสื่อสารและการสร้างความร่วมมือในองค์กร การเข้าใจผู้อื่น การคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) และงานสร้างสรรค์ ก็เป็นสิ่งที่ลูกจ้างต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน
AI สามารถส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมได้ในหลายมิติ โดยจากการศึกษาของ Goldman Sachs Research8 เมื่อปี 2566 คาดว่าการเข้ามาของ GenAI อาจช่วยเพิ่ม GDP โลกได้ราว 7% และยกระดับการเติบโตของประสิทธิภาพได้ 1.5% และกระทบตลาดแรงงานทั่วโลก และมีบางส่วนอาจถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์
สำหรับเศรษฐกิจในระดับโลก อาจมองได้ว่าประเทศที่ลงทุนใน AI เร็วกว่า และครอบครองเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า เช่น สหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป มีแนวโน้มได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่า และกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ประเทศที่ไม่มี AI ของตนเอง ต้องใช้โมเดลและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เช่น ประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนและแอฟริกา ก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ส่งผลให้อำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจลดลง และเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลออกนอกประเทศ
เราคงได้เห็นแล้วว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI นั้น ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และสามารถเป็นได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยง กลายเป็นความท้าทายสำคัญของหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้น เพื่อให้ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่เท่าทันโลกยุค AI เราจึงควรใช้โอกาสนี้เร่งเตรียมความพร้อมในการยกเครื่องการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การพัฒนาทักษะแรงงาน รวมถึงสนับสนุนทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและลูกจ้างให้มีความพร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจยุคเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อให้แรงงานไทยคว้าโอกาสในการใช้ AI เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ในอนาคต
footnote
[1] แนวคิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการผลิตโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรียชื่อ Joseph Schumpeter (ปี 2426-2493)
[2] อ้างอิงปัญหาเชิงโครงสร้างจาก ร่างพิมพ์เขียว REINVENT THAILAND พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย
[3] ปัญญาประดิษฐ์ AI เพื่อนใหม่วัยเก๋า | ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ
การปรับใช้เทคโนโลยี AI กับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย | สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล
[4] Thai workforce faces financial strain, but hope emerges among AI users | PwC Thailand
[5] AI อาจไม่ได้ทำคนตกงาน แต่บริษัทปลดคนออกเพราะกลัวความไม่แน่นอน | bangkokbiznews
[6] Thailand AI Readiness Assessment Report 2025 | TDRI
[7] AI skills could boost Thailand workers’ salaries by more than 41% | nationthailand
[8] Generative AI could raise global GDP by 7% | Goldman Sachs
เรื่อง : กองบรรณาธิการ พระสยาม BOT Magazine